06 ธันวาคม 2554

ก็แค่อีกวันหนึ่ง (ที่ต้องเสี่ยงตาย) ของครูบ้านนอก

     วันนี้ ถ้าผมออกมาเร็วไปสิบนาที...

     ... ผมคงไม่ได้มีโอกาสมานั่งเขียนเล่าให้คุณอ่านเหมือนตอนนี้

     หลายท่านที่ติดตามอ่านบันทึกของครูบ้านนอก ก็คงพอทราบบ้างแล้วว่า ผมต้องขี่จักรยานยนต์มาปฏิบัติราชการ ซึ่งต้องเสี่ยงกับรถน้ำมัน รถบรรทุก รถเมล์ และรถอื่นๆอีกมากมาย

    ข้อดีก็คือ ผมต้องตั้งนะโมสามจบ ท่องชินบัญชร และคาถาอีกหลายบทกว่าจะถึงโรงเรียน รวมไปถึงตอนกลับบ้านด้วย (มันทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องครูที่อยู่สามจังหวัดชายแดนฯ ว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อมีลมหายใจกลับบ้าน) และความรู้สึกของผมคงเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆเท่านั้นเองเมื่อเทียบกันกับพวกเขา

     ด้วยความเป็นข้าราชการครูที่เงินเดือนน้อย เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิต ผมก็ต้องเดินทางไปทำงานด้วยวิธีนี้ หลายคนอาจมองว่า ทำไมถึงไม่ซื้อรถขับ ผมก็ตอบทุกๆคนด้วยคำตอบเดียวกันว่า "ไม่มีเงินซื้อ" และถ้าซื้อ ก็คงไม่มีเงินเติมน้ำมัน

     แม้ว่า ช่วงทีผ่านมา อาจมีบางโอกาสที่ผมได้เงินจากการเป็นวิทยากร แต่เงินเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นหนังสือเล่มใหม่ๆ ที่เข้ามาประดับความรู้ และใช้ประโยชน์กับวงการศึกษา 

     บางครั้ง ผมก็คิดว่า ถ้าเราเก็บเงินซื้อรถ เราก็ขนเพียงสังขารของเราไป - กลับ 
     ... แต่ถ้าเราเอาเงินไปซื้อหนังสือ เอาเงินไปทำสื่อ สร้างสื่อมาสอนเด็ก เราสามารถขนเด็กๆ ไปสู่ฝั่งฝันได้อีกหลายคน

     ตอนนี้ ผมยังไม่มีภาระอะไรมาก จึงขอคิดแบบนี้ก่อน และก็คงจะคิดต่อไป ถ้ายังไม่เป็นอะไรไป...

     เล่ามาเสียนาน ยังไม่ได้บอกเลยว่า วันนี้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ... ไปชมภาพกันดีกว่าครับ




     สำหรับผม การเสี่ยงตายเพราะรถอ้อยนี้มีหลายครั้ง ตั้งแต่เทียวอยู่ที่ อ.ไทรงามแล้ว (เดี๋ยวจะลองไปค้นคลิปเก่าๆมาให้ดูนะครับ) ส่วนครั้งนี้ วันนี้ เป็นการเตือนสติได้อย่างดีว่า "เราต้องดำเนินชีวิตทุกย่างก้าวอย่างมีสติ"

     เพราะยังไม่ได้เป็นปลัดกระทรวงเลย... (ฮาาา)

     ถ้าวันนี้ ผมออกมาถ่ายเอกสารข้อสอบ Pre - onet ของชั้น ป.6 และ ม.3 เร็วกว่านี้สักสอบนาที ผมคงได้ไปชิมน้ำอ้อยอย่างใกล้ชิดแน่ๆ


     มันเป็นความเสี่ยงที่ต้องทำทุกวัน

     ผมเคยคิดได้ว่า ทำไมเราถึงต้องสวมเครื่องแบบข้าราชการในวันจันทร์ คำตอบที่ได้เกิดขึ้นตอนที่ต้องลุยลูกรังเข้าโรงเรียน "อ๋อ สีมันกลมกลืนกับฝุ่นนั้นเอง" เราคือคนของพระราชา ทำงานที่พระราชาทรงมอบให้

     หลายครั้งหลายครา ที่ข้อคิดดีๆมักเกิดหลังจากได้รู้ได้เห็นอะไรมา

     ...รวมถึงประสบการณ์เฉียดตายด้วย 

    (นึกถึงตอนที่ถนนเส้นเข้าโรงเรียนกำลังจะราดยาง ผมอยู่ห่างล้อรถสิบล้อไม่ถึงฟุต ไม่รู้เค้าจะรีบไปไหนนักหนา นั่นแหละ ถึงเป็นที่มาของครูวิทย์ ที่ห้อยพระ ห้อยตะกรุดเต็มตัว)

    ผมเชื่อว่า ใครๆก็กลัวตาย
    เว้นแต่ผู้ฝึกสติมา เค้าก็จะไม่กลัว และกล้าเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ

     ไอ้ผมมันก็คนธรรมดา ยังฝึกไม่มากพอ มันก็กลัวบ้าง (จะเห็นได้ว่า เขียนไปหลายบทความแล้ว) 

     จริงๆแล้ว ผมกลัวในสิ่งที่ผมอยากจะทำ แต่ยังไม่ได้ทำต่างหาก

     ... ผมอยากเป็นปลัดกระทรวง จะได้มีอำนาจกระจายครูให้ครบทุกที่จริงๆ ไม่ใช่ไปกระจุกตัวช่วยราชการกันที่โรงเรียนใหญ่ ส่วนโรงเรียนบ้านนอก ครูขาดแล้วขาดอีก รวมไปถึงกระจายอุปกรณ์ทางการศึกษาให้เท่าเทียม ไม่ใช่แจกแต่โรงเรียนใหญ่ ไล่เรียงลงมา โรงเรียนเล็กๆ ก็ขาดแล้วขาดอีก

      ... ผมอยากเผยแพร่งานเขียนของผมเอง 

      มีหลายเรื่องที่เขียนขึ้นมา แต่ยังไม่ได้พิมพ์ อาจเป็นเพราะมือไม่ถึง หรือไม่ตรงกับความต้องการของตลาด เค้าเลยไม่สนใจกัน
     มีเรื่องนึงนะครับ ที่อยากให้พิมพ์เผยแพร่ เป็นนวนิยายขนาดสั้น ไม่ถึงร้อยหน้า เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็กๆ จนเธอโตมา เธอจึงแสวงหาความรัก และเอาร่างกายเข้าแรก จริงๆแล้วมันเป็นเค้าโครงเรื่องจริงเลยหละครับ ผมสัญญากับเจ้าของเรื่องว่าจะเขียน และก็เขียนจนจบ น่าเสียดายที่ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนสนใจ  (ผมอยากเอาไปนำเสนอเขตพื้นที่ฯ เพราะทางเขตฯ มีนโยบายให้นักเรียนหญิงรักนวลสงวนตัว แต่มันจะคุ้มกับเวลาที่เค้าเสียไปหรือเปล่าก็ไม่รู้) แต่ถ้าต้องการจะให้นักเรียนรักตัวเอง ไม่มี sex ก่อนเวลาอันควร ผมว่า มันก็เป็นสื่ออีกรูปแบบหนึ่งนะครับ

     ผมอยากทำอีกหลายๆอย่าง

     ที่สำคัญ อยากบอกเล่าเรื่องราวของวงการครู ความสุข ความภูมิใจ และความทุกข์ยากที่คนในวงการศึกษาเค้าพอเจอกัน

      อย่าลืมติดตามอ่านบันทึกของครูบ้านนอกนะครับ แล้วคุณอาจได้มองเห็นอีกมุมนึงของคนเป็นครูครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ