31 ธันวาคม 2555

ส่งท้ายปีเก่าด้วยการสวดมนต์ข้ามปีกันดีกว่า


วันนี้ พวกเราชาวไทยมาร่วมกันทำความดีส่งท้ายปีเก่า

  ...เพื่อตัวเราเอง

  ...เพื่อครอบครัว

   ...เพื่อสังคม ประเทศชาติ

   ...และเพื่อในหลวงของพวกเรา

   มาร่วมกันสวดมนต์ข้ามปีกันเถอะครับ http://www.seal2thai.org/sara/sara251.htm
 

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

25 ธันวาคม 2555

นิตยสารอิสวาุสุ ฉบับที่ 3 เดือน ธันวาคม ออกแล้ว!!!

   Merry X'Mas
   ขอทักทายตามกระแสของวันคริสมาสในวันนี้นะครับ

   หลังจากกิจกรรมภารกิจที่โรงเรียนในวันนี้ พอกลับมาครูแชมป์ก็ไปจัดการเรื่องเงินๆทองๆ แล้วแวะไปที่ร้านเสียงทิพย์ จ.พิษณุโลก

   พื้นที่แรกที่โฉบไปคือแผงนิตยสารพระเครื่อง สายตาเหลือบไปเห็น "อิสวาสุ" ฉบับที่ 3 ประจำเดือนธันวาคม 2555 ได้มาถึงพิษณุโลกแล้ว แต่ยัง!!! ยังไม่หยิบในตอนนั้น เพราะต้องเลยขึ้นไปดูคู่มือวิทยาศาสตร์ ม.1 เสียก่อน (เดือนๆ หมดไปกับการซื้อหนังสือสอนเด็กเท่าไรเนี่ย... 555)

   เมื่อลงมา ก็เอาหนังสือที่ซื้อวางไว้ แล้วรีบไปหยิบอิสวาสุ เมื่อเจ้าหน้าที่คิดเงินเสร็จแล้ว จึงแกะออกดู มีพระกริ่งคลองตะเคียน 1 องค์มากับนิตยสาร และแล้วก็เห็นหน้า (พุง) ของเรา...ในหน้า 76 - 77

   ว้าาาาาวววววว!!!!

   เรื่องของเราได้แล้ว ต้องขอบคุณกองบก. นิตยสารอิสวาสุ ที่กรุณาสืบประวัติข้อมูลของผมเพิ่มเติม และได้นำไปลงในหนังสือด้วย (รู้สึกเหมือนเป็นติ๊ก เจาฎาภรณ์เลย <<< ว่าไปนั่น 555)

   ลืมบอกไปครับ เรื่องที่ผมส่งไปนั้น เป็นประสบการณ์ที่เกี่ยวกับหลวงปู่แขก ปภาโส หรือท่านเจ้าคุณ พระมงคลสุธี วัดสุนทรประดิษฐ์ อ.บางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เขียนไปไม่ยาวมากครับ อิอิ แต่ขอยืนยันเลยว่าเรื่องจริง ประสบการณ์จริง เกิดขึ้นกับตัวผมเอง ไม่ได้ฟังต่อจากใคร ไม่แต่งเติม เรื่องจริงล้วนๆครับ

อิสวาสุ ประจำเดือนธันวาคม ปีที่ 1 ฉบับที่ 3


หน้า 76 - 77 ของ อิสวาสุ

บอกสังกัด กันให้ชัดๆไปเลย 
   ต้องกราบขอบพระคุณที่ทางกอง บก. ได้ให้โอกาสผมได้เผยแพร่กิตติคุณของผู้ที่ผมเคารพนับถือ ยังครับ ผมยังมีเรื่องเล่า ประสบการณ์อีกเยอะ ผมแค่คนชอบเล่าเท่านั้นเอง.... ไม่ได้โม้.... ฮาาาา

   อ่านแล้ว คิดเห็นอย่างไร ติดชมได้นะครับ พี่น้องทุกท่าน


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

23 ธันวาคม 2555

ควันหลงวันสิ้นโลก

   หลังจากผ่านวันที่หลายคนในโลกคิดว่าเป็นวันสิ้นโลก นั่นคือวันที่ 21 / 12 /12 ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่มากเกินไปจริงๆ ในวันที่ 20 ตอนไปซื้อข้าว คนขายข้าวบอกว่า มีคนแก่อายุ 80 เครียดจัดถึงกับล้มป่วย เพราะกลัวว่าโลกจะแตก แล้วจะไม่ได้เจอลูกหลาน หรือแม้กระทั้งปลากระป๋อง กับเทียนไขถูกเหมาหมดไปในร้านสะดวกซื้อ (ซึ่งผมก็ต้องต่อคิวคิวเงินจากป้าคนนั้นนานมากกกกกก)

   วันนี้ ได้มาเจอข่าวในอินเทอร์เน็ต เลยขอนำมาลงให้อ่านกันเ่ล่นๆครับ

นักหลงใหล UFO ผิดหวัง รอเป็นพยานวันสิ้นโลก


   กลุ่มนักหลงใหล ใน UFO ต่างพากันเป็นสักขีพยาน รอดูเหตุการณ์วันโลกาวินาศของโลก แต่ต้องผิดคาด เพราะไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ

   สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ในวันนี้ (21 ธ.ค.) กลุ่มคนรัก UFO รวมตัวกันออกมาแสวงหาข้อเท็จจริง และก็เพื่อเป็นสักขีพยานตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเม็กซิโก ตามคำทำนายจากปฏิทินของชาวมายัน ว่า วันนี้ จะเป็นการเปลี่ยนยุคใหม่ของโลก 21/12/12

   ซึ่งทางด้านนักวิชาการของสหรัฐ ออกมาให้ความหมายของวันสิ้นโลก ที่ได้ปลุกกระแสชาวโลกขณะนี้ ว่า หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของยุค หรือ ศตวรรษ ซึ่งโลกจะกลายเป็นยุคใหม่จากที่ยาวนานมาเป็นเวลา 400 ปี

   แต่ทางด้านศิลปินมากมาย ทั้งความคิดเห็นของทนายและนักธุรกิจ ต่างพูดถึงวันสิ้นโลกไปในความหมายของการเดินทางในเช้าวันใหม่ ดวงอาทิตย์ดวงใหม่ ซึ่งมีความหมายไปทางเดียวกันกับคำกล่าวของสหรัฐว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ของโลก

   ซึ่งกลุ่มคนที่หลงใหลของสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ยากจะอธิบายได้ เช่น UFO หรือ การทำนายตามชาวมายันก็จะต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เนื่องจาก วันนี้ ที่เป็นกระแสไปทั่วโลกว่า ถึงจุดจบของโลกก็ยังไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นที่บ่งบอกถึงความรุนแรงซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงไปถึงวันโลกาวินาศได้เลย

ที่มา INNNEWS.CO.TH

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

16 ธันวาคม 2555

คำค้นหาสุดฮิต ติดลมบน google


คำค้นสุดฮิต ติดลมบน google

     เมื่อต้องการค้นหาข้อมูลสำหรับทำรายงาน ทำการบ้าน ทำข้อมูลต่างๆ ครูแชมป์เชื่อว่าหลายท่านต้องคิดถึง search engine ที่ขึ้นแท่นในหัวใจของคนไทย (เผลอๆ ทั่วโลก) นั่นก็คือ google


   เรามาลองดูกันดีกว่านะครับว่า ในปี 2012 ที่ผ่านมา มีคำค้นหาที่มีประชาชนชาวไทย ค้นหามากที่สุดจนติดอันดับ คำค้นสุดฮิต ของ google กันนะครับ (มาลองดูว่า มีคำที่คุณเคยค้นไปบ้างหรือป่าว) เค้าแยกเป็นหมวดๆนะครับ

   หมวดคำค้นหาสุดฮิต
1. 4Shared
2. แรงเงา
3. Simsimi
4. Gangnam Style
5. วินาทีเดียวเท่านั้น
6. ร่มสีเทา
7. ปิ่นอนงค์
8. Dragon Nest
9. Kizi
10. บ่วง


อ่านต่อฉบับเต็มได้ที่ http://www.seal2thai.org/sara/sara250.htm


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

14 ธันวาคม 2555

มาดูกันว่า ครูต้องทำอะไรบ้าง (ภาค 2)

   อันนี้เป็นภาคต่อของ ภาค 1 ที่เขียนเมื่อวานนะครับ (http://seal2thai.blogspot.com/2012/12/blog-post_13.html ) ยังไงลองอ่านดูก่อนนะครับ

   เอาหละ มาพูดเรื่องงานที่นอกเหนือการสอนของครูกันต่อ

   ในการสอน ครูจะต้องมีการเช็คชื่อนักเรียน และบันทึกลงใน ปพ.5 ต้องคอยตรวจสอบว่า นักเรียนคนไหนไม่มา มาสาย แล้วต้องประสานครูประจำชั้นเพื่อติดตาม (ในกรณีที่สอนรายวิชา) แต่โรงเรียนเล้กๆส่วนใหญ่ ครูประจำชั้นจะเป็นคนสอนเองในตัว

   ใน ปพ.5 นอกจากมีการลงเวลามาเรียนแล้ว ยังมีส่วนที่ครูต้องบันทึกครู คะแนนที่ทำการทดสอบ ทำกิจกรรม โดยต้องสอดคล้องกับตัวชี้วัด (ที่ได้มาจากการวิเคราะห์หลักสูตรและเขียนแผน) ต้องมีการแบ่งว่าจะเป็นคะแนน 80 : 20 หรือ 70 : 30 หรือ 60 : 40 แล้วแต่ธรรมชาติของวิชา ครูยังต้องลงคะแนนการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียนสื่อความ (ถ้าโรงเรียนใหญ่ๆ จะมีงบประมาณในการทำข้อสอบอย่างดี ส่วนโรงเรียนเล็กๆ ถ้าไม่ยืมเค้ามาถ่าย ครูก็ต้องออกแบบเองให้เหมาะสม) และยังมีคะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงค์อีก

   เมื่อครูกรอกคะแนนเรียบร้อยแล้ว ต้องส่งคะแนนให้ครูประจำชั้นกรอก ปพ.6 และ ปพ.8 เพื่อมอบให้ผู้ปกครองเอาไปชื่นชมตอนปลายปี (ถ้าเป็นมัธยมก็ปลายเทอม) แล้วครูต้องส่งให้ฝ่ายวัดผลกรอกลงใน ข้อมูลโปรแกรม student'51

   นอกจากนี้ ครูยังต้องทำระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีการออกเยี่ยมบ้าน การประชุมผู้ปกครอง การคัดกรอกเด็กกลุ่มเสี่ยง การทำกิจกรรมห้องเรียนสีขาว การประสานงานกับครู D.E.A.R. ที่เป็นตำรวจ เพื่อป้องปรามพฤติกรรมเด็ก


   บางที ตามโรงเรียนบ้านนอก มีเด็กหนีไปเล่นน้ำ เราอาจได้เห็นภาพครูขี่มอเตอร์ไซต์ถือไม้เรียวไปไล่เด็กกลับมาเรียน ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นอาจดีใจที่ครูเอาใจใส่ แต่ผู้ปกครองบางคนบอกว่า เพราะเด็ก 1 คน ทำให้เด้กอีก 10 คน ไม่ได้เรียน .... เฮ้อ ต่างมอง ต่างมุม

   ที่เล่ามาเราเรียกมันว่า ธุรการชั้นเรียน

   ในการจัดการเรียนรู้ สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือการวัดและประเมินผล นั่นคือการสอบนั่นเอง

   ครูวิทยาศาสตร์ หากสอนวิทยาศาสตร์อย่างเดียว เค้าก็จะสามารถออกแบบทดสอบได้อย่างมีคุณภาพ (มั้ง) เพราะในการออกข้อสอบ ก็ต้องย้อนกลับไปดูหลักสูตรฯ แล้วทำพิมพ์เขียวข้อสอบ (Test Buleprint) ว่าข้อสอบนี้วัดด้านใด พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย จิตพิสัย

   หากเป็นพุทธพิสัยก็จะแยกเป็น
   ความรู้ความจำ
   ความเข้าใจ
   การนำไปใช้
   การวิเคราะห์
   การสังเคราะห์

   เมื่อวิเคราะห์แล้ว ต้องบอกว่า ทำข้อสอบแต่ละระดับกี่ข้อ แบบทดสอบควรเป็นแบบใด ปรนัย หรืออัตนัย (ถ้าเป็นปรนัย ก็ต้องบอกอีกว่า แบบใดใน 4 แบบ)

   เมื่อได้แบบทดสอบแล้ว หากมีเวลา มีจำนวนนักเรียนเพียงพอ ต้องเอาแบบทดสอบนั้นไปหาค่า P ค่า R (ส่วนใหญ่อาจไม่ได้ทำครับ เพราะต้องกลุ่มตัวอย่างที่นอกเหนือจากที่สอบจริง) แล้วมาคัดในเรื่องของค่าคะแนนความยาก - ง่าย อีก

   และเมื่อจัดการเรียนรู้เสร็จแล้ว ต้องเขียนบันทึกท้ายแผนว่า ใช้แล้วเป็นอย่างไร เด็กผ่านจุดประสงค์กี่คน เด็กผ่านตัวชี้วัดกี่คน ไม่ผ่านกี่คน เพราะอะไร ควรแก้ไขอย่างไร....

   ...แล้วเอาผลนั้น มาทำเป็นงานวิจัย สร้างสื่อ สร้างนวัตกรรมเข้ามาแก้ไข

   แต่จะใช้เลยไม่ได้นะครับ ต้องผ่านการอนุญาตก่อน

   เมื่อสอนเสร็จประจำปี ก็ต้องรายงานทางต้นสังกัดว่า เด็กแต่ละชั้น ได้เกรดอะไรบ้าง เป็นจำนวนกี่คน ติด 0 กี่คน ติด ร กี่คน มส. กี่คน แล้วคุณแก้ไขหรือยัง อย่างไร บ่อยแค่ไหน (เด็กติด 0 เพราะไม่ยอมส่งงาน สอนก็แล้ว ด่าก็แล้ว ไม่นวมก็แล้ว ไม้แข็งก็แล้ว แจ้งผู้ปกครองก็แล้ว สุดท้าย ก็กลายเป็นความผิดของครู... สงสัย ต้องเอาดอกไม้ธูปเทียน อัญเชิญนักเรียนไปส่งงาน ไปเข้าสอบเสียแล้วกระมัง)

   เอาหละ นอกจากการสอนอันมีขั้นตอนต่างๆตามที่พูดแล้ว ครูยังต้องทำงานเหล่านี้ (เอาแค่คร่าวๆนะครับ เพราะถ้าบอกหมดเดี๋ยวยาว)

   - งานวิชาการ
   ตรวจสอบจำนวนแผนของครู, ตรวจแบบทดสอบ, ตรวจสอบการแก้ไขหลักสูตร, การรายงานรายชื่อนักเรียนเข้าสอบ onet, การรับนักเรียน, การย้ายนักเรียน, การทำหลักสูตรอาเซียน, การทำหลักสูตรป้องกันอุทกภัย, การทำข้อมูลนักเรียน SIMS , การกรอกข้อมูลผลการเรียนในโปรแกรม student'51 , การรายงานข้อมูลต่างๆตามที่หน่วยงานต้นสังกัดขอ , การประชุม, การอบรม, การสัมมนา ฯลฯ ครูวิชาการจะโดนเรียกอบรม ประขุม สัมมนาบ่อยมากๆ  จำได้สมัยเงินเดือน 8 พันกว่า โดนอบรมทั้งปีรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 180 ชม. (ข้าราชการครู คิดชั่วโมงอบรมเป็น 6 ชม./วัน ครับ) เดินทางก็ต้องออกเงินค่าเดินทางเอง ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ถึงจะมีแต่ก็.... เหอะๆ นั่งรถเมล์จากพิษณุโลก ไปกำแพงเพชร เที่ยวละ 78 บ. ไปกลับก็ร้อยกว่า ได้เบี้ยเดินทาง 100 เดียว <<< เข้าเนื้อๆๆ 555+





   - งานบริหารทั่วไป / ธุรการ
   จัดทำเอกสารราชการ, จัดทำหนังสือเข้า - ออก, จัดทำคำสั่งในกิจกรรมต่าง, งานธุรการก็จะมีอบรม ประชุม สัมมนาบ้าง แต่ก็น้อยครั้ง แล้วก็ยังมีกิจกรรมต่างๆของนักเรียน เช่น แห่เทียน กีฬาสี งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นต้น

   - งานการเงิน
   งานนี้ มีขาอยู่ในคุก 1 ข้าง รับผิดชอบเรื่องการเบิกจ่ายเงิน ทั้งค่าอาหารกลางวัน, ค่านมเด็ก, ค่าอุปกรณ์อันแสนจะน้อยนิด (สำหรับโรงเรียนเล็ก) , ทำบันทึกประจำวันเงินคงเหลือ ก็จะมีอบรม ประชุม สัมมนาบ้าง แต่ก็น้อยครั้ง

   - งานพัสดุ 
   เมื่อครู่การเงินเอาขาข้างซ้ายเข้าไปอยู่ในคุก งานพัสดุกลัวน้อยหน้า เลยเอาขาข้างขวาไปอยู่ในคุกบ้าง เหอะๆๆๆ ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องทะเบียครุภัณฑ์, วัสดุคงทน, วัสดุสิ้นเปลือง, การเบิกจ่ายต่างๆของครู อันนี้จะเยอะหน่อยถ้าเป็นโรงเรียนใหญ่ บางโรงเรียนมีครูที่ทำหน้าที่การเงิน 14 คน โห!!! เท่้ากับครูโรงเรียนผมทั้งโรงเรียนเลย....

   ที่กล่าวมานี่เป็นส่วนหนึ่งนะครับ เพราะถ้าครูที่ทำงานเหล่านี้ทำไปเก็บงานไป เค้าก็อาจจะมีผลงาน แบบนี้

   แหม อยากจะเอาบันทีกประจำวันสแกนลงเสียจริงๆ เหอะๆ 

   ผมเชื่อว่าต้องมีครูที่ทำงานหนัก ทำงานมาก แถมยังโดนเรียกอบรมมาก เหมือนกัน เผลอๆอาจจะมากกว่าในกรณีที่โรงเรียนมีครู 2 คน อย่างที่บอกไปในบทความที่แล้ว

   นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงพี่น้องวงการครูที่อยู่โรงเรียนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ สพฐ. อีกนะครับ พวกท่านคงลำบากเหมือนกันกับพวกเรา

   ที่เขียนมานี้ ไม่ใช่ว่า เรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือนครูนะครับ เพียงแค่อยากจะบอกให้รู้ว่า บางท่านคิดว่า ครูมีปิดเทอม แต่ในช่วงที่เปิดเทอม ครูต้องทำอะไรบ้าง และครูบางคนอาจจะไม่มีปิดเทอม เพราะ ผอ.เรียกมาทำงาน หรือถูกเรียกประชุม อบรม สัมมนา

   การเป็นครูนั่นเหนื่อยครับ แต่การได้บ่นโดยการเขียนเนี่ย มันทำให้เรามีแรงฮึดต่อ เพราะอย่างน้อยๆเผื่อผู้หลักผู้ใหญ่ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษา หรือแม้แต่นายกฯ อาจจะเผลอแวะเวียนเข้ามาอ่านบ้าง (เนาะ)

   บ่นกับด่ามันต่างกันนะครับ

   บ่นแต่ทำงาน กับไม่เคยบ่น(เพราะไม่ได้ทำงาน) กันก็ต่างกันครับ อิอิ (ศน.บางท่านบอกว่า เข้าแชมป์มันขี้บ่น แหม มันก็ขอระบายออกมาบ้างเถอะ แต่ก็บนหลักของวิชาการ เหตุผลนะครับ อิอิ)

   ใครทำอะไร ย่อมได้อย่างนั้น ถ้าครูไม่รักลูกคนอื่นเท่าลูกตัวเอง ตอนที่ครูมีลูก ผลกรรมมันก็ตกกับลูกของครูเอง ใช่ไหมครับ เชื่อว่าครูเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ย่อมมีจิตวิญญานของความเป็นครูอย่างเต็มเปี่ยม มีสำนึกของความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มกำลัง

   สาธุ ขออานุสงส์ที่ตั้งใจทำเพื่อการศึกษา จงส่งผลให้ได้สัมฤทธิ์ในสิ่งที่ฝันสูงสุดด้วยเถิด....

(ผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านใด ก็กราบขออภัยล่วงหน้า ตามประสาครูนะจ๊ะ)

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................



13 ธันวาคม 2555

มาดูกันว่า ครูต้องทำอะไรบ้าง

   สวัสดีครับ

   พอดีดูช่อง 3 พูดถึงเรื่องวิกฤตการศึกษาไทย คะแนน วิทย์ - คณิต อยู่ในระดับต่ำ เลยทำให้นึกถึงหัวข้อกระทู้เกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือนครู แล้วมีอาชีพอื่น (รวมถึงในวงการศึกษาด้วยกัน) ออกมาวิจารณ์กันอย่างรุนแรง และเมามัน แต่สิ่งหนึ่งที่มีการเปรียบเทียบคือ เค้า(ทั้งหลาย) ต่างคิดว่า ครูแสนสบาย มีปิดเทอม แต่พวกเค้าต้องทำงานเกี่ยวกับเชื้อโรค เกี่ยวกับความตาย ทำไมไม่ให้ความสำคัญกับเค้าบ้าง

   แถมคุณสรยุทธ์ ยังเจาะประเด็นเรื่องนี้ออกช่อง 3 อีก เชื่อว่าต้องมีคนพูดว่า "เห็นไหม ขึ้นเงินเดือนให้พวกครูไปก็เท่านั้น ผลสัมฤทธิ์เด็กก็แย่ลง"

   เอาเป็นว่า ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างไม่เห็นอาชีพอื่นๆในทุกมุมมอง (คนที่มีแฟนเป็นครู ย่อมรู้ดีว่าหน้าที่ของครูต้องทำอะไรบ้าง คนที่มีแฟนเป็นตำรวจ ทหาร อบต. หรือแม้กระทั้งธุรการโรงเรียน ก็ต้องย่อมรู้ดีเช่นกัน) ... ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรม เราไม่ควรตัดสินว่าอาชีพใดดีกว่า อาชีพใดสบายกว่า หากไม่มีข้อมูลจากประสบการณ์ตรง

   ในฐานะที่เป็นครู ก็ขอพูดเฉพาะในมุมของครูก็แล้วกัน

   พูดถึงครู ก็แบ่งออกเป็น ข้าราชการครู พนักงานราชการที่เป็นครู ครูอัตราจ้าง และครูเอกชน (สรุปแบบลวกๆนะครับ ว่ามี 4 กลุ่มใหญ่ๆนี้)

   ทีนี้ เรามาดูประเภทโรงเรียนบ้าง ถ้าจำไม่ผิดก็จะแบ่งเป็น
   - โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย
   - โรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษ เช่นจุฬาภรณ์ หรือ มหิดลวิทยานุสรณ์
   - โรงเรียนสังกัด สพฐ (ประถม / มัธยม)
   - โรงเรียนสังกัด กทม.
   - โรงเรียนเอกชน
   - โรงเรียนพระปริยัติธรรม (สอนเณร)
   - โรงเรียนสังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ. เทศบาล)
   อันนี้แบ่งโดยคร่าวๆนะครับ ไม่ได้ถูกต้องตามหลักวิชาการอะไรทั้งนั้น

   คราวนี้ ถ้าใครมีอาชีพเป็นครู ก็ต้องย่อมรู้ว่า โรงเรียนแบบไหน ได้งบประมาณขนาดไหน มากน้อยเพียงใด (คนที่ไม่ได้เป็นครู ลองเดาเล่นๆดูก็ได้นะครับ)
   ที่นี้ โรงเรียนสังกัด สพฐ. (บ้านของพวกผมเอง) ก็มีการแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่

   ขนาดของโรงเรียน ก็มีผลต่องบประมาณ เพราะนักเรียน ป.6 มี 200 คน กับ ป.6 มี 2 คน มันก็ต้องเปิดสอน ป.6 เหมือนกัน แต่ด้วยข้อจำกัดของขนาดของโรงเรียน เลยทำให้บางโรงเรียนที่เปิดสอน อนุบาล 1 - ป.6 ( 8 ชั้น) มีครู 2 คน กับ ผอ. 1 คน
   ... แล้วเค้าจะสอนได้อย่างไร
 
   เชื่อว่า ต้องมีคนถามแบบนี้ แต่อยากให้รับทราบไว้ว่า ทุกวันนี้ โรงเรียนก็ยังต้องสอนอยู่

   ทีนี้ ก็ต้องมีคนคิดว่า แล้วทำไม ไมุ่ยุบไปหละ...

   ผมอยากให้คุณนึกถึงว่า ถ้าวันหนึ่ง ในหมู่บ้านของคุณอยู่ เข้าต้องการตัดถนนเพื่อสร้างความเจริญให้กับหมู่บ้าน แต่แผนที่มันตัดผ่านกลางบ้านคุณ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ คุณจะยอมไหม บ้านของคุณอยู่มาตั้งนานอยู่ดีๆเค้าจะไล่คุณไปซะอย่างงั้น

   เด็กพวกนี้ก็เหมือนกัน ... ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร หากโรงเรียนโดนยุบไป เค้าจะต้องเดินทางไกลขึ้น เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น เอาเป็นว่า คุณลองคิดภาพนะครับ ลูกของคุณอยู่ ป.2 ต้องปั่นจักรยานไปโรงเรียนที่ไกลขึ้น เพราะโรงเรียนเก่าถูกยุบ โดยเส้นทางที่ไป ต้องผ่านถนนสายหลัก มีรถบรรทุกอ้อย บรรทุกน้ำมันวิ่งผ่าน คุณจะยอมไหม...

   เอาหละ จากเรื่องของขนาดของโรงเรียน และจำนวนครูแล้ว จะได้เข้าเรื่องที่ว่า ครูต้องทำอย่างไรบ้าง

   ก็รู้อยู่แล้วนะครับ ว่าครูต้องทำหน้าที่สอนหนังสือเด็กนักเีัรียน ซึ่งปัจจุบัน มีการใช้หลักสูตรฯ 51 กำหนดไว้ว่า 1 วัน เด็ก ม.ต้น ต้องได้เรียน 6 ชม. ส่วนระดับประถม เรียน 5 ชั่วโมง ส่วนชั่วโมงเหลือเป็นซ่อมเสริม

   ทีนี้ มีนักการศึกษากล่าวว่า ครูจะสอน 1 ชม. ต้องมีการเตรียมการสอน 1 ชม. เท่าๆกัน (การเตรียมการสอนที่ว่า คือการวิเคราะห์หลักสูตร ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ เขียนแผนจัดการเรียนรู้ เตรียมสื่อ เตรียมอุปกรณ์ เตรียมใบงาน เตรียมแบบทดสอบ <<< ทั้งหมดเนี่ย 1 ชม.)

   แล้วครูโรงเรียนเล็กๆ ที่สอน 3 วิชา 5 วิชา คุณก็ลองคิดเองครับว่า จะต้องเตรียมการสอนอย่างไร ใช้เวลาแค่ไหน

   ทีนี้ โรงเรียนที่มีครู 2 คน หละ จะสอนอย่างไร...

   "สอนแบบบูรณาการสิ!!!" มีเสียงตะโกนออกมาจากหลังห้อง

   ถ้าต้องสอนแบบบูรณาการ ก็จะมีคำถามตามมาว่า
   - มีหลักสูตรรองรับไหม
   - หลักสูตรมีคุณภาพไหม
   - วัดผลได้อย่างไีร
   - คณะกรรมการสถานศึกษาฯ อนุมัติไหม
   - มีงานวิจัยรองรับหรือไม่
   - ผลการศึกษาทำให้เด็กสอบ onet ได้หรือไม่

   เอาแค่คำถาม 6 ข้อนี้ คุณจะสามารถตอบแทนโรงเรียนที่มีครู 2 คน ได้หรือไม่

   ....ประเด็นต่อมา ในโลกของความเป็นจริง ครูไม่ได้สอนอย่างเดียว

   งานหลักๆของโรงเรียน มี 4 งาน
   1. วิชาการ
   2. ธุรการ
   3. การเงิน
   4. พัสดุ (ไม่ใช่กองพัสดุที่มุตากับวีกิจเค้าทำงานนะครับ)

   เอาหละ ครู 2 คน มาจับฉลากกัน ว่าใครจะทำงานอะไร (ที่แน่ๆ การเงิน กับพัสดุ ห้ามเป็นคนๆเดียวกัน) แถมยังมีออกมาอีกว่า เรื่องพัสดุ ต้องมีหัวหน้่างานพัสดุ กับเจ้าหน้าที่พัสดุ อ้าาววววววว มีครูอยู่ 2 คน แล้วจะทำยังไง.... ทำอะไรไปก็ผิดระเบียบ เหอะๆ

   ยังครับ ยังไม่หมด ต้องบ่นอีกหลายวัน ยังไงอย่าลืมติดตามบันทึกของครูบ้านนอก โดยครูแชมป์ พิริยะ นะครับ อย่างน้อยๆ ก็ได้รับฟังมุมหนึ่งของครูนะครับ

   ผมเคยเขียนเรื่อง อาชีพครู ผู้รับใช้ที่ถูกประนาม แล้วมีคนส่งเมล์ และข้อความมาด่าว่าผม แล้วเค้าบอกว่า คนงานก่อสร้างเงินน้อยกว่าครู เค้าไม่ตายแล้วเหรอ... ผมไม่ได้ตอบโต้เค้าไป เพราะเค้าคงไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เรายืน คนงานก่อสร้าง เค้าไม่ได้จ่ายค่าถ่ายเอกสารให้ลูกคนอื่น ไมไ่ด้ซื้อหนังสือไปให้ลูกคนอื่นค้นคว้า หรือไม่ต้องซื้อแฟ้มใส่งานเอง ซื้อลวดเย็บกระดาษเอง ถ้าเป็นครูแล้วเงินดีอย่างคนนั้นว่า ผมคงไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซต์เก่าๆ ไปโรงเรียนซึ่งมีระยะทางไปกลับร่วม 50 กม. หรอกครับ

   ติดตามต่อ วันพรุ่งนี้นะครับ พี่น้องชาวไทย
(อ่านต่อ http://seal2thai.blogspot.com/2012/12/2.html จ้าาาาา)

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

 

08 ธันวาคม 2555

AdSense ยกเลิกการแบนแล้ว

...หลังจากที่ลำบากใจมากหลายวัน

เช้าวันนี้ ดูเหมือนการเปิดคอมพ์ตั้งแต่ตีห้าจะเป็นการบอกข่าวดีให้ตัวเอง

   ผมลองเช็ค Adsense ดูว่ามีอะไรผิดปกติอีกไหม เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน จู่ๆก็มีข้อความว่า ถูกยกเลิกการใช้งานสำหรับเว็บ seal2thai.org แต่ยังสามารถใช้งานกับเว็บอื่นๆได้

   ตอนนั้น รู้สึกเสียใจมาก เพราะ seal2thai.org ถือเป็นเว็บหลักเลยทีเดียว ผมแปลกใจที่ช่วงหลังๆ บางครั้งเราไม่ได้ข้อความแจ้งเตือนเหมือนเมื่อก่อน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกแบนเสียแล้ว

   สาเหตุที่ถูกแบนครั้งนี้ เป็นเพราะหน้าที่เป็น webboard ครับ

   ดังนั้น หากท่านใดทำ adsense แล้วมี webboard ก็ระวังด้วยนะครับ

   (มีประโยชน์ขอสัก Like เด้ออออ)


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

07 ธันวาคม 2555

เหตุใดคนโบราณไม่นิยมสวมแหวนนิ้วกลาง



วิชาการหัตถศาสตร์ของไทย ท่านอธิบายดังนี้ นิ้วกลางเป็นนิ้วของดาวเสาร์ ถ้านิ้วยาวแสดงว่าเป็นคนรักความสงบ ชอบการศึกษา ถ้าเป็นสี่เหลี่ยมและหนา แสดงว่ามีความคิดลึกซึ้ง ถ้านิ้วสั้นหรือมีตำหนิ จะไม่เอาใจใส่เรื่องใด ถ้านิ้วนี้ยาวกว่าฝ่ามือ เป็นผู้รอบคอบดี ถ้าสั้นกว่าฝ่ามือ เป็นคนใจร้อน มักตกลงใจเร็ว นิ้วกลางสำคัญเพราะป็นนิ้วที่รับเส้นโชคอันหมายถึงอาชีพและวิถีทางแห่งชีวิต และเป็นนิ้วที่แสดงถึงนิสัยโดยตรง

อีกตำราบอกถ้านิ้วกลางยาวเกินไปเป็นคนเซื่องซึม สั้นเกินไปเป็นคนรุกราน อยู่ไม่สุข ตรงจึงจะดี ถ้าไม่ตรงเป็นคนมีอัตตทิฏฐิคือถือตนเป็นใหญ่ ถ้าแอ่นหงายไปข้างหลังมาก มักขัดสนหรือกำพร้าบิดามารดามาแต่น้อย ถ้ามีเส้นคาดรอบวงนิ้ว แม้สุขแต่ก็ทุกข์ทางใจ มีรอยก่ายไขว้กันตรงข้อหรือเป็นกากบาท ไม่ดี มีตำหนิหรือพิการ มักอยู่ห่างจากมารดา

ดังนั้นการที่เราสวมใส่แหวนก็เหมือนเอาอะไรมารัดตรงนิ้วกลาง ท่านว่าไม่เหมาะไม่ควร

เรื่องของความเชื่อมีหลายกระแส แต่คนที่สวมแหวนนิ้วกลาง จะเป็นคนจิตใจรื่นเริงแจ่มใส มีจินตนาการสูง ไม่มั่นใจในตัวเอง หนุ่มใดมาจีบต้องสร้างความมั่นใจให้รู้สึกว่าสิ่งที่มีอยู่น่ะดีเลิศ คุณเป็นคนที่น่ารักที่สุดในสายตาของผม...ว่าเข้าไปนั่น

ส่วนอีกตำราบอกว่าคนชอบสวมแหวนนิ้วกลางจะเป็นคนรักสันโดษ ยึดถือความคิดของตนเป็นหลัก เอาตนเป็นจุดศูนย์กลาง ค่อนไปทางดื้อรั้น แต่ก็ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นบางครั้ง มีความจริงใจ ซื่อสัตย์มั่นคง ห่วงใยความรู้สึกของคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนในครอบครัวหรือเพื่อน

แถมการทายทักถึงการสวมแหวนในนิ้วอื่นให้ด้วยเอ้า นิ้วชี้เป็นนิ้วของดาวพฤหัสบดี สวมแหวนนิ้วนี้แสดงถึงความเด่น มีอำนาจปกครองคน มีมานะ ก้าวหน้า มุ่งที่จะเชิดชูฐานะตนให้เด่นขึ้น บอกลักษณะของความมีความเชื่อมั่นในตัวเอง นิ้วนางเป็นนิ้วของดาวอาทิตย์ แหวนบนนิ้วนาง (ไม่ได้หมายถึงแหวนแทนรัก) สื่อความว่าเป็นผู้เอาแต่ใจตัวเอง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ แต่ภายใต้ความท่าทางเข้มแข็งคือความบอบบาง

นิ้วก้อยนิ้วของดาวพุธ สวมใส่แหวนนิ้วก้อยนี้ท่านว่าอยู่ในโลกของความฝัน เก็บกด ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ส่วนนิ้วหัวแม่มือ สวมแหวนนิ้วนี้ว่าเป็นคนแปลก สังคมและสายตาผู้อื่นทำอะไรมิได้ มีความเชื่อมั่นและความภูมิใจในตัวเอง

ไม่ใช่เรื่องต้องถอดแหวนทิ้งหากทักทายไม่เข้าแก๊ป ขึ้นอยู่กับความสบายใจ สบายก็สวม ไม่สบายก็ไม่ต้องสวม...ก็แล้วกั

ขอบคุณเกร็ดความรู้จาก : หนังสือพิมพ์ข่าวสด





ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

28 พฤศจิกายน 2555

เครียด... ปั่นป่วน

   ...พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่ สมศ.จะเข้า

   เป็นสิ่งที่หลายๆโรงเรียนมีัความรู้สึกคล้ายๆกัน นั่นคือการร้อนๆหนาวๆ กระอักกระอ่วน ของผมเป็นหนักหน่อย ถึงกับท้องเดิน (มันเหมือนกับท้องเสียไหมครับ)

   เอาเถิด จะอย่างไร ก็สู้เพื่อโรงเรียน และเด็กๆ ของเรา


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

06 พฤศจิกายน 2555

รูปนักเรียนชั้น ม.2

ให้นักเีรียนนำรูปของตนเอง นำไปตกแต่งในฉากหลังที่กำหนด









ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................


02 พฤศจิกายน 2555

ข้อคิดที่ได้จากโทรศัพท์ 3 นาทีครึ่ง


เมื่อเช้าตอนประมาณ 7 โมง ท่าน ผอ. โทรมาถามว่า จะเอาเสื้อสูทใส่ไปรับรางวัลที่รัฐสภาไหม ?? ถ้าจะเอาเดี๋ยวจะติดรถไปให้

ผมบอกท่านไปว่า ไม่เอาครับ ผมจะใส่เครื่องแบบข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้ารับรางวัล แล้วก็คุยเรื่องอื่นๆเล็กน้อย

การกระทำของ ผอ. ทำให้ผมเข้าใจว่า การเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าที่ดี ต้องกระทำอะไรบ้าง ผู้นำ ไม่ใช่ใช้อำนาจเพียงด้านเดียว หรือเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องเพียงด้านเดียว สรุปแล้ว ต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ

ตอนน้ำท่วม ผอ. ผมไม่เคยโทรมาสั่งว่า ให้เข้าไปโรงเรียนแล้วถ่ายรูปน้ำท่วม (ท่านรู้ว่ามอเตอร์ไซต์ของผมลุยน้ำเข้าไปไม่รอด) แต่ท่านใช้การขับรถเข้ามารับ แล้วขับรถกลับมาส่งถึงบ้าน (แถมเลี้ยงข้าวอีกต่างหาก)

ท่านมีอำนาจสั่งให้ผมทำ แต่ท่านก็เลือกที่จะใช้อำนาจนั้น แต่เลือกที่จะใช้วิธี ทำไปด้วยกัน ลุยเคียงบ่าเคียงไหล่ ... แล้วแบบนี้ เราจะรบแบบถวายหัวให้ท่านไม่ได้เลยหรือ

... หากเอื้อประโยชน์เฉพาะพวกพ้อง ท่านก็จะมีคนหวังแต่ประโยชน์เข้ามาอยู่ด้วย แต่ถ้าแบ่งปันประโยชน์นั้นให้คนที่สามารถใช้งานได้ เราก็จะได้คนทำงานเป็นมาอยู่ด้วย (ข้อคิดที่ได้จากโทรศัพท์ 3 นาทีครึ่ง 2 พ.ย. 55 ครูแชมป์ พิริยะ)


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

31 ตุลาคม 2555

ต้อนรับวันปล่อยผี กับความเชื่อหลอนทั่วโลก (ที่เจน ญาณทิพย์ อาจจะยังไม่เคยสัมผัสได้)

   วันนี้ เป็นวันปล่อยผีของชาวฝรั่งมังค่า ปีหนึ่งมีเพียงครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน ครูแชมป์เชื่อว่า ของคนไทยยังมีวันปล่อยผีเยอะว่า (เพราะปล่อยกันทุกวันพระใหญ่ 55+) ตอนนี้ อาจจะยังมีพลังงานบางอย่าง ที่ยังไม่กลับขุมนรกควัญหลงออกพรรษารอส่วนบุญอยู่ก็ได้

   เรามีดูว่า 13 ความเชื่อของฝรั่ง มีอะไรกันบ้างครับ

   1. แมวดำ
ตาม ความเชื่อแต่โบราณของตะวันตก แมวดำถือเป็นสัญลักษณ์แห่งลางร้าย และถูกเชื่อมโยงกับลัทธิแม่มด ในหลายๆ วัฒนธรรมเชื่อว่าหากโดนแมวดำวิ่งตัดหน้า นั่นเป็นลางบอกเหตุว่าคุณกำลังจะเจอเรื่องเลวร้ายจนอาจถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้แมวดำยังเป็นของแสลงสำหรับเหล่านักพนัน โดยเชื่อกันว่าหากพวกเขาเห็นแมวดำขณะกำลังจะเดินทางไปเล่นพนันที่กาสิโนแล้ว ล่ะก็ เขาควรจะล้มเลิกแผนการที่จะไปเสี่ยงโชคในวันนั้นไปเลย

แต่ทั้ง นี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ว่าแมวดำจะเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด ในวัฒนธรรมของบางประเทศเช่นญี่ปุ่น อังกฤษ และไอร์แลนด์นั้นมีความเชื่อที่ตรงกันข้าม เพราะแมวดำสำหรับพวกเขาแล้วเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งโชคดีนั่นเอง

2. ละครสกอตแลนด์
เหล่า นักแสดงก็ถือเป็นกลุ่มคนที่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อด้านไสยศาสตร์ เช่นกัน และดูเหมือนว่าจะไม่มีกรณีไหนที่ชัดเจนเท่ากับละครโศกนาฏกรรมเรื่อง “แม็คเบ็ธ” ของเช็คสเปียร์อีกแล้ว (แสดงโดยเอียน แมคเคลเลน และ จูดี้ เดนช์ ในปี 19671) มีความเชื่อว่าหากมีคนพูดชื่อ 'แม็คเบ็ธ' ในโรงละคร (ที่ไม่ใช่การพูดระหว่างเล่นละครเรื่องนี้) จะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายบางอย่างกับการเล่นละครครั้งนั้น ดังนั้นเหล่านักแสดงจึงเลี่ยงไปใช้คำว่า 'The scottish Play' หรือ ละครสกอตแลนด์ แทน นอกจากนี้การแสดงละครเรื่องแม็คเบ็ธยังถูกกล่าวขวัญว่าเป็นสิ่งที่นำมาซึ่ง ความหายนะ เนื่องมาจากการแสดงละครเรื่องนี้ครั้งแรก ได้เกิดเหตุการไม่คาดฝันขึ้น โดยนักแสดงหลักต้องเสียชีวิตกลางเวทีเมื่อสิ่งที่ควรเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากใน การแสดงนั้น กลับกลายเป็นมีดของจริง

เรื่องลี้ลับเกี่ยวกับวงการการ แสดงอีกเรื่องที่รู้จักกันดีคือการอวยพรนักแสดงก่อนขึ้นเวทีว่า 'โชคดีนะ' ซึ่งนั่นจะนำสิ่งที่ให้ผลตรงกันข้ามมา ดังนั้นนักแสดงจึงเปลี่ยนคำอวยพรให้กันเป็น 'ขอให้ขาหักนะ' โดยเชื่อว่าการแช่งแบบนี้จะให้ผลตรงกันข้ามและนำมาซึ่งสิ่งดีๆ แทน อย่างไรก็ตามต้นกำเนิดของความเชื่อนี้ยังคลุมเครือ แต่ก็เชื่อกันว่าถูกลือกันมาตั้งแต่ช่วงปี 1920 แล้ว

3. การ์กอยล์
การมีรูปปั้นหน้าตาอัปลักษณ์ไว้ตามอาคารบ้านเรือนอาจจะดูไม่ใช่เรื่องสมควร เท่าไรนัก แต่จากที่เราเห็นๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นแนวอัปลักษณ์ที่เรียกว่า 'ฮังค์กี้ พังค์' หรือรูปปั้นที่มีท่าทางสื่อไปในทางเพศแบบค่อนข้างน่าเกลียดอย่าง 'ชีล่านากิก' ในประเทศไอร์แลนด์ รวมถึง 'การ์กอยล์' ในประเทศอังกฤษ ซึ่งเหมือนกับที่ตั้งอยู่เหนือวิหารนอเทรอ-ดาม แห่งปารีส – ทั้งหมดได้พิสูจข้อสันนิษฐานนั้นแล้วว่าไม่จริงเสมอไป ในทางทฤษฎีแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเหมือนมนตราที่ช่วยขจัดความชั่วร้าย ไปจนถึงขับไล่ปีศาจ และสำหรับการติดรูปปั้นการ์กอยล์นั้นมีจุดประสงค์อื่นแฝงไว้คือ ปากของมันจะหน้าหน้าที่เป็นรางรองน้ำฝนบนหลังคาโบสถ์ไปด้วย

4. ไพ่ในมือคนตาย
ไพ่คู่ 8 ดำ และคู่เอซดำ รวมกับไพ่อะไรก็ได้อีกใบหนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นไพ่แห่งความโชคร้ายในการเล่นโป๊กเกอร์ (แม้ความจริงแล้วจะดูเหมือนเป็นแต้มที่ค่อนข้างดีก็ตาม) ทำไมน่ะหรือ? เพราะตำนานบอกไว้ว่านี่คือไพ่ในทือของ 'ไวล์ บิล ฮิกค็อก' ทนายความและมือปืนสุดเหี้ยมแห่งตะวันตก ขณะที่เขาถูกยิงตายระหว่างที่เล่นโป๊กเกอร์ที่เดดวู้ดในปี 1876 โดยมีหลักฐานที่พิสูจน์เรื่องนี้อยู่เล็กน้อย แต่ไม่มีใครในยุคนี้ที่บอกได้ว่าจริงๆ แล้วไพ่ในมือของเขาคืออะไร แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความเชื่อในเรื่องนี้หายไปจากวงการนักพนันได้ หากคุณเคยเห็นตัวละครในภาพยนตร์ถือไพ่เลขนี้อยู่ นั่นเป็นโอกาสอันดีซึ่งเขาจะได้จบชีวิตแบบศพไม่สวยในไม่ช้า

5. การไขว้นิ้วมือ
ารไขว้นิ้วมือเพื่อขอให้โชคดี (หรือจะเพื่อโกงไม่ทำตามสัญญาก็แล้วแต่) เป็นสิ่งที่ทั่วโลกรู้จักกันดี แต่จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ดูจะไม่ชัดเจนนัก โดยอาจเริ่มมาจากประเทศคริสเตียนที่ระบุว่าการทำสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น เชื่อมโยงกับการไขว้กันของไม้กางเขนในศาสนาคริสต์ อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานอื่นระบุว่าความเชื่อดังกล่าวไม่เกี่ยวกับศาสนา แต่อาจเป็นการแสดงท่าทางอย่างหนึ่งของชาวนอร์เวย์ หรือเป็นความเชื่อที่สร้างขึ้นโดยนักธนูในสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและ ฝรั่งเศสมากกว่า (นักยิงธนูจะใช้นิ้วทั้งสองเพื่อเหนี่ยวคันธนู)

6. กระจกเงาที่แตกร้าว
ความเชื่อโดยทั่วไปมีอยู่ว่า กระจกเงาที่แตกร้าวนั้นจะทำให้ผู้ใช้โชคร้ายไปถึง 7 ปี ความคิดนี้เชื่อมโยงกับไอเดียที่ว่ากระจกเงานั้นเป็นสิ่งที่กักเก็บดวง วิญญาณของคุณ ดังนั้นหากมันแตกออก นั่นหมายถึงดวงวิญญาณของคุณก็แตกด้วยเช่นกัน จึงเป็นสาเหตุที่วัฒนธรรมของบางท้องที่จะทำการคลุมกระจกเงา รวมถึงพื้นผิวของสิ่งต่างๆ ที่สามารถสะท้อนภาพได้ เพื่อให้ดวงวิญญาณสามารถออกจากบ้านได้โดยไม่ถูกกระจกเงากักเอาไว้เมื่อมีใคร สักคนในบ้านตายลง

7. วันกราวด์ฮ็อก
ความ เชื่อที่ว่าสัตว์จำพวกหนูขนาดใหญ่นั้นสามารถพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ (ถ้ามันจ้องมองเงาของตัวเองนั่นหมายถึงฤดูใบไม้ผลิจะเข้ามาเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่ก็แปลว่าจะเป็นฤดูหนาวอย่างน้อย 6 สัปดาห์) อาจฟังดูน่าหัวเราะ แต่นั่นก็ไม่ทำให้กิจกรรมนี้หมดความนิยมไปในสหรัฐฯ หรือแคนาดาได้ เนื่องมาจากตัวกราวด์ฮ็อกที่ดังที่สุดชื่อว่า  Punxsutawney Phil แห่งเพนซิลวาเนียได้เข้าไปอยู่ในภาพยนตร์จนเป็นที่นิยมอย่างล้นหลาม มีแฟนคลับติดตามการทำนายอยู่ตลอด โดยประเพณีการทำนายเงาเช่นนี้เริ่มจากความเชื่อของเยอรมันสมัยโบราณในเรื่อง ของวัน Candle mas ซึ่งความเชื่อดังกล่าวถูกนำเข้ามายังอเมริกาโดยผู้อพยพของเยอรมัน

แล้ว Punxsutawney Phil ตัวนี้ทำนายสภายอากาศได้แม่นยำแค่ไหนกัน? คำตอบคือ ค่อนข้างห่วย สถิติการทำนายของมันถูกต้องเพีย 39 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง

8. เกลือหก
เป็น ความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าการทำเกลือหกโดยไม่ตั้งใจนั้นถือเป็นลางบอกเหตุ ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น จากตำนานระบุว่าเป็นความเชื่อจากวัฒนธรรมของคริสเตียน โดย ยูดาส อิสคาริโอท หนึ่งในอัครทูตของพระเยซูได้ทำเกลือหกระหว่างอาหารมื้อสุดท้ายหรือที่เรียก ว่า The last supper ก่อนเขาจะทรยศพระเยซู โดยในความเป็นจริงแล้วก็มีคำบอกเล่าที่ฟังดูเข้าทีอยู่จนถึงปัจจุบันคือ เกลือนั้นมีราคาแพง ดังนั้นการทำเกลือหกก็แปลว่าโชคไม่ดีแล้ว นอกจากนี้ความเชื่อเรื่องเกลือหกยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและความ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งการที่คุณถูกเกลือหกใส่โดยฝีมือเจ้าของบ้านนั้นเป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย

กรณี ของเรื่องนี้ใกล้เคียงกับเรื่องแมวดำอย่างมาก เพราะการทำเกลือหกนั้นให้ผลเดียวกับการเจอแมวดำ สำหรับความเชื่ออื่นๆ มีอยู่ว่าการเหยาะเกลือข้ามไหล่ซ้ายจะทำให้โชคดี และเป็นการป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้

9. เลข 666
“Hexakosioihexekontahexaphobia” คือชื่อทางวิทยาศาสตร์ของโรคกลัวเลข 666 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อตัวเลขปีศาจ ความเชื่อลี้ลับนี้มาจากศาสนาคริสต์ โดยเชื่อว่าเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขแห่งซาตานในพระคัมภีร์ไบเบิล ความเชื่อนี้เริ่มเป็นแพร่หลายไปมากขึ้นจากภาพยนตร์เรื่อง The Omen (ตามภาพบน) และจากกรณีที่อดีตประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนได้เปลี่ยนบ้านเลขที่ของเขาหลังจากสิ้นสุดตำแหน่งประธานาธิบดีจาก 666 เป็น 668 แทน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจผิดมาตลอด เพราะในปี 2005 ได้มีผู้รู้ออกมาเปิดเผยหลักฐานว่าตัวเลขดังกล่าวนั้น แท้จริงต้องเป็นเลข 616 ไม่ใช่ 666 อย่างที่เข้าใจกันนั่นเอง

10. การลอดใต้บันได
การเดินลอดใต้บันไดนั้นเชื่อกันว่าจะทำให้เกิดเรื่องโชคร้าย แม้ว่าบางทฤษฎีจะเสนอว่านี่เป็นการกระทำเพื่อใช้บันไดแทนรูปสามเหลี่ยมที่ แสดงถึงพระตรีเอกภาพในศาสนาคริสต์ ที่ประกอบด้วยพระบิดา พระบุตร และพระจิต แต่คำอธิบายง่ายๆ ที่สมเหตุสมผลที่สุดคือการเดินลอดบันไดนั้นอาจเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุได้ นั่นเอง ซึ่งเป็นเพียงคำแนะนำเพื่อความปลอดภัย หาใช่เรื่องลี้ลับอะไรไม่

11. จดหมายลูกโซ่
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนาน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1888 จดหมายที่มีเนื้อหาเป็นเชิงคำสั่งว่าให้คัดลอกแล้วส่งต่อไปเรื่อยๆ มักจะมีคำเตือน หรือขู่ว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นหากผู้ทีได้รับจดหมายไม่ทำตาม (พร้อมยกตัวอย่างเรื่องร้ายๆ บางเรื่องที่จะเกิดขึ้นหากไม่ส่งต่อ) ซึ่งการพัฒนาขึ้นมาของอีเมล์และสังคมออนไลน์นั้นทำให้การส่งต่อข้อความใน จดหมายกลายเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้น จนทำให้จดหมายลูกโซ่แพร่หลายไปอย่างมาก ในขณะเดียวกันบางคนก็ใช้จดหมายพวกนี้หาเงินอย่างเจ้าเล่ห์ เหตุผลที่แท้จริงในการค้องส่งจดหมายลูกโซ่ต่อๆ กันไปนั้นยังคงคลุมเครือ... หรือจะเป็นเพราะเราแค่อยากเห็นว่าจดหมายจะกระจายไปได้ไกลแค่ไหนกันแน่

12.ผีเสื้อแม่มด
ผีเสื้อ แม่มด (The Black witch moth) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ascalapha odorata เป็นสัญลักษณ์แห่งความตายและความโชคร้ายประจำทะเลแคริเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ในเม็กซิโกเชื่อกันว่าหากผีเสื้อชนิดนี้บินเข้าไปในบ้านที่มีคนป่วยอยู่ นั่นหมายถึงความตายกำลังจะมาเยือนพวกเขาแล้ว ในจาไมก้านั้นเป็นที่รู้จักในชื่อ “Duppy Bat” และเชื่อกันว่ามันคือวิญญาณที่หลงทางซึ่งจะทำโชคร้ายมาให้ ทั้งนี้ ดูเหมือนผีเสื้อกลางคืนชนิดดังกล่าวจะเป็นผีเสื้อเพียงพันธุ์เดียวเท่านั้น ที่เกี่ยวโยงกับความเชื่อลี้ลับ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะในวัฒนธรรมของอเมริการกลาง ผีเสื้อกลางคืนทุกชนิดเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับความตายได้ทั้งสิ้น

ผีเสื้อ แม่มดดำนั้นยังปรากฏอยู่อย่างน่ากลัวในนวนิยายเรื่อง The Silence of the Lambs แต่ในเวอร์ชันภาพยนตร์นั้นใช้ผีเสื้อหัวกะโหลกแทนเพราะดูน่ากลัวกว่า

13. หมายเลข 13 
ต้น กำเนิดตำนานเลขโชคร้ายเบอร์ 13 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกนั้นยังไม่ชัดเจนนัก บางทฤษฎีระบุว่าเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับศาสนาคริสต์ (ซึ่งมาจาก The Last Supper เมื่อจูดาสกล่าวว่าเขาจะนั่งตรงตำแหน่งที่ 13 ของโต๊ะ), ตำนานไวกิ้ง (เทพผู้คดโกงนามโลกิเป็นเทพองค์ที่ 13 พอดี) และตำนานจักรราศีของเปอร์เซีย (ซึ่งมีสัญลักษณ์ 12 อัน โดยทิ้งอันที่ 13 ไว้เป็นตัวแทนแห่งความวุ่นวายและความขัดแย้ง) โดยเรื่องสยองขวัญของศุกร์ 13 นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยผนวกเอาความเชื่อลี้ลับสองประการเข้าด้วยกัน นั่นคือความน่ากลัวของเลข 13 และความเชื่อว่าวันศุกร์คือวันแห่งความโชคร้าย

โรคกลัวเลข 13 นั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า triskaidekaphobia นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่รู้กันดีว่าทำไมอาคารหลายแห่งจึงไม่มีชั้น 13 พอเลยจากชั้น 12 ก็ไปชั้น 14 เลย

(ใครอ่านจนครบ 13 ข้อ แล้วไม่ส่งต่อ ก็จะเกิด.... 555+ เอาทั้งเลข 13 และจดหมายลูกโซ่มารวมกันเลยครับ เรื่องจดหมายลูกโซ่ต้องยอมรับจดหมายในตำนานเลยครับ นั่นคือ จดหมายจากท่านพระครูธรรมโชติ )

ที่มา msn.com

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

27 ตุลาคม 2555

จากปฏิทินมายา สู่วันสิ้นโลก 2012 แต่...

 
   ชาวมายันในกัวเตมาลา เรียกร้องขอให้รัฐบาลและผู้จัดทัวร์ทั้งหลายหยุดบิดเบือนปฏิทินมายา และนำปฏิทินมายันไปหากิน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

   ผลสืบเนื่องมาจากตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีผู้นำปฏิทินมายาไปตีความเชื่อมโยงกับวันสิ้นโลก และมีการนำการตีความผิดๆ ดังกล่าวไปนำเสนอสู่สายตาสาธารณชนทั้งในรูปแบบของภาพยนตร์ และสารคดี ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ไปทั่วโลก

   ขณะที่บริษัททัวร์ก็ได้นำปฏิทินมายามาเป็นจุดขาย ดึงดูดให้ผู้คนจองทัวร์แห่มาฉลองวันที่เชื่อว่าเป็นวันสิ้นโลก พร้อมกับอธิบายเรื่องวันสิ้นโลกอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว

   ผู้นำชนเผ่ามายัน เผยว่า "พวกเราขอต่อต้านการโกหก หลอกลวง และบิดเบือนเรื่องปฏิทินมายา เพื่อนำมาหากินกอบโกยผลประโยชน์ โดยที่ไม่ยอมบอกความจริงกับประชาชนเรื่องความหมายที่แท้จริงของปฏิทินมายาว่ามันคือการสิ้นสุดของรอบปฏิทินเท่านั้น ซึ่งตามความเชื่อของชนเผ่ามายัน การเริ่มต้นปฏิทินรอบใหม่ หมายถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับตัวเอง ครอบครัว และสังคม และจะเกิดความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไม่ได้มีความหมายอื่นใดนอกเหนือจากนี้"

   หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวควรจะคิดใหม่อีกครั้ง เกี่ยวกับการนำปฏิทินไปบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ เพราะนี่ถือเป็นการดูหมิ่นอารยธรรมของชาวมายันเลยทีเดียว


ข้อมูลโดยwww.talkystory.com/

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

16 ตุลาคม 2555

ขอเทียบตำแหน่งครูเท่าข้าราชการพลเรือน เพื่อสิทธิในการขอพระราชทานเครื่องราชฯ


ขอเทียบตำแหน่งครูเท่าข้าราชการพลเรือน เพื่อสิทธิในการขอพระราชทานเครื่องราชฯ

   นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการ ก.ค.ศ. เปิดเผยว่า การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาปัจจุบันนี้ จะต้องใช้หลักเกณฑ์ตามบัญชี 7 แนบท้ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ.2536 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่จะขอพระราชทานเครื่องราช ชั้นสายสะพาย ป.ม.ได้ ต้องดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาและเงินเดือนถึงขั้นสูงของระดับ 8 (53,080 บาท) และขอได้ในปีก่อนปีที่จะเกษียณอายุราชการ หรือในปีที่เกษียณอายุราชการเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากข้าราชการพลเรือนสามัญ ในปัจจุบันที่ได้ใช้หลักเกณฑ์ตามบัญชี 41 ที่กำหนดให้ผู้ขอดำรงตำแหน่งชำนาญการพิเศษและได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูง (53,808 บาท) สามารถเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ป.ม.ได้

   เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ก.ค.ศ. จึงเห็นว่าตามโครงสร้างของตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีลักษณะเป็นตำแหน่งทางวิชาการเนื่องจากมีการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะอยู่แล้ว จึงได้เสนอสำนักงานก.พ.ขอเทียบตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตำแหน่งครูผู้สอน ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด เทียบเท่ากับตำแหน่งข้าราชพลเรือนสามัญ ประเภทวิชาการ ตามหลักเกณฑ์บัญชี 41 เพื่อประโยชน์ในการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่ง ก.พ. ได้อนุมัติให้เทียบตำแหน่งดังกล่าวได้ เช่น ตำแหน่งครูวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ หรือผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เทียบได้กับข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ เป็นต้น

   นางศิริพร กล่าวอีกว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาฯ ได้เสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา ดังนั้น การขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จึงยังไม่สามารถถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์บัญชี 41 เหมือนกับข้าราชการพลเรือนสามัญ ของ ก.พ. ได้ ทำให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ไม่อาจใช้หลักเกณฑ์บัญชี 41 ได้ทัน สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้มีหนังสือที่ ศธ.๐๒๐๖.๘/๓๗๐ ลงวันที่ 28 กันยายน 2555 แจ้งเวียนไปยังส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติแล้ว  โดยหากประสงค์จะเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ป.ม. ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ขอให้ต้นสังกัดเสนอรายชื่อพร้อมรายละเอียดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเสนอสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษต่อไป

ที่มา  : แนวหน้าออนไลน์  09  ตุลาคม  2555


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................


07 ตุลาคม 2555

การให้ครูไปปฏิบัติธรรม


บางอย่าง ผู้ใหญ่ ก็ใช้อำนาจหน้าที่เกินไป
พอนายบอกว่า ให้ครูปฏิบัติธรรม ก็อาศัยอำนาจนโยบายนั้น บังคับครูไปปฏิบัติ ณ สถานที่ที่ตนเชื่อ ศรัทธา นับถือ โดยไม่ดูจริตของคนอื่นๆ

บ้างก็เชื่อในลัทธิใหม่ ก็เอาลัทธินั้นเข้าสู่โรงเรียน ซินแส เดินเข้าออกโรงเรียนเป็นว่าเล่น
บ้างก็เชื่อในลัทธิบางลัทธิ ก็ขวนขวายสร้างโอกาสครอบงำครู นักเรียน
บ้างก็เชื่อในมหานิกาย ธรรมยุิต ฯลฯ

บางสิ่งบางอย่าง ถ้าถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมีโอกาสได้รู้อะไรหลายๆอย่าง คุณจะรู้เลยว่า ทำไม จริตของคนอื่นๆ จึงไม่มีความสุขเวลาไปปฏิบัติธรรม...

เคยเห็นพระนั่ง"กินกาแฟ" คุยเรื่องการเมืองใหม่
เคยเป็นแม่ชี มีทีวีดู แล้วไม่ยอมไปทำวัตร เพราะเชื่อว่า ตนพ้นจุดนั้นไหม
เคยเห็นแม่ชี ถือเงินไปซื้อกับข้าวในตลาดเป็นถุงๆไหม
เคยเห็นในห้องพักปฏิบัติธรรม มีจาน ชาม ช้อน น้ำปลา ฯลฯ ไหม

...การเป็นผู้ใหญ่ มันดีอย่างนี้นี่เอง คือ สามารถสร้างโอกาสให้ชักจูงบุคคลอื่นให้เชื่อในสิ่งที่ตนเชื่อได้ ด้วยอำนาจที่เรียกว่ามือที่มองไม่เห็น
...การบังคับให้คนปฏิบัติธรรมโดยไม่ถูกจริต ก็ไม่ต่างอะไรกับเทน้ำบนสนามบาสเก็ตบอล เดี๋ยวมันก็แห้งหายไป

...สู้ให้เค้าไปปฏิบัติในวัด ในสถานที่ที่เค้าชอบ เค้าถูกจริต แล้วกลับมาทำรายงานดีกว่า เพราะคนที่ตั้งใจไปทำจริงๆ ก็เยอะ และไม่ต้องไปคิดแทนเค้าว่า เดี๋ยวก็โกหก สร้างหลักฐานเท็จ เพราะคนเขาจะคิดว่า ท่านเอาประสบการณ์ตัวเองที่เคยทำ มาตัดสินคนอื่น  ถ้าเค้าโกหกจริง บาปกรรมก็มีจริง ไม่ต้องไปตัดสิน ไปลงโทษเขาหรอก หากเขาโกหกว่าไปทำความดี ไปฏิบัติธรรมมา เพื่อเอาตัวรอดไปปีหนึ่งๆ ลูกหลานของเขา ก็คงจะทำกับเขาเช่นกัน (คล้ายๆกับโกงเงินถวายพระ โกงควายที่ถูกไถ่ชีวิต) ประมาณนั้นครับ

(เขียนตอนฟังนโนบายของใครบางคน ทางทีวี)



ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

16 กันยายน 2555

มองให้ครบทุกมุม

   ...คุณเคยตัดสินใครผิดพลาดหรือเปล่า

   ผมว่า ทุกคนก็เคย ผมเองก็ยังเคย นั่นเพราะ เราตัดสินคนๆนั้นด้วยข้อมูลที่เรามี ด้วยความรู้สึกที่เรามี แล้วเราก็กลับมาเสียใจและรู้สึกผิดที่หลัง ว่าเราไม่ควรคิดกับเขาแบบนั้น

   บางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นในหัวข้อครูบ้านนอกอย่างครูแชมป์ ตอนนั่งดูแก้วโกโก้

     เรามองด้านนี้ เราเห็นหูของแก้ว ในขณะที่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับมองเห็นว่า มันเป็นแก้วเปล่าๆ ไำม่มีหู นั่นเพราะ เขามองคนละมุมกับเรา

    มันก็คงเหมือนกับที่หลายคนกำลังตัดสินเราอยู่
    บางคนเค้าอาจมองว่า การที่ผมออกมาประชุม อบรม สัมมนา เป็นวิทยากร เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย เป็นการเบียดบังเวลาราชการ เอาเวลามาทำงานส่วนตัว

     ผมกำลังมองว่า สิ่งต่างๆที่กล่าวมา เป็นการทำงานส่วนตัวในส่วนไหน
     คนที่เค้าพูด เค้าเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ ว่าใน 1 ปีการศึกษา เค้าไปอบรมในนามของโรงเรียนกี่ชั่วโมง (ไม่นับที่เค้าสมัครใจอบรมเพื่อประโยชน์ของตัวเองนะจ๊ะ)
     เค้าเคยโดนโทรศัพท์ตอนสามทุ่มครึ่งสั่งให้ไปอบรมในวันพรุ่งนี้หรือไม่
     เค้าเคยโดนโทรศัพท์ตอนกำลังจะออกบ้านไปโรงเรียน ให้ไปประชุมแทนการเข้าโรงเรียนหรือไม่
     เค้าเคยโดนโทรศัำำพท์ให้เตรียมตัวให้เข้าไปถ่ายรูปน้ำท่วมในโรงเรียนหรือไม่
     เค้าเคยโดนโทรศัพท์ให้ย้อนกลับไปประชุมกรรมการแข่งขัน ตอนที่กำลังขี่รถไปถึงครึ่งทางแล้วหรือไม่
     เค้าเคยต้องนำสิ่งที่โดนอบรม ประชุม สัมมนา กลับมาทำงานต่อ มาขยายผล มาเขียนรายงาน เขียนแผนปฏิบัติการหรือไม่ ฯลฯ

     ...แม้กระทั้งการสอนพิเศษที่ผมต้องสอนนักเรียนที่อื่นเพิ่มนั้น เพราะผมมีเหตุผลอะไร

     คุณรู้หรือไม่ เวลาที่ผมบอกเหตุผลไปบางคนบอกว่า งบประมาณไปอยู่ที่ไหนหมด ทำไมเค้าไม่จัดซื้อจัดหา ผมมาทราบในภายหลังว่า เค้ามองภาพโรงเรียนของผมมีเนื้อที่ 10 ไร่ มีเด็กนักเรียนเกือบพัน มีครูครึ่งร้อย มีผู้ปกครองที่ร่ำรวยพร้อมที่จะให้การสนับสนุน

     แต่ในโลกของความเป็นจริง โรงเรียนผมมีนักเรียนเพียง 99 คน งบประมาณสนับสนุนก็เลยน้อยตาม ทั้งๆที่มีนักเรียนระดับมัธยมต้นอยู่ด้วย

     หนักไปกว่านั้น นอกงานงบประมาณจะน้อยแล้ว จำนวนครูก็ลดลงตามจำนวนเด็ก ทั้งๆที่ก็ยังต้องสอนระดับมัธยมอยู่ เอาเป็นว่า คุณลองนึกถึงครูที่ไม่ได้จบคณิตศาสตร์ ต้องมาสอนคณิตศาสตร์ นอกเหนือจากการสอนวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ไปด้วยกัน

     คุณภาพ คงไม่ต้องพูดถึง...

     เรื่องสามัญสำนึกของความเป็นครู เราก็เชื่อว่า ครูทุกคนล้วนต้องการให้นักเรียนอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งงบประมาณดังที่กล่าวมา ทั้งสื่อการสอน ผมพูดตรงๆ ผมอยากซื้อ VCD คณิตศาสตร์ ของระดับ ม.3 มาเปิดให้เด็กๆดู แต่ติดด้วยราคาชุดละสามพันสามร้อยกว่าบาท อยากมีจอโปรเจคเตอร์มาฉายในห้องวิทยาศาสตร์ จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นเดินลง ไม่ต้องรบกวนคนอื่น อยากได้เอ๊กซ์ทานอล ฮาร์ดดิกส์ มานำไฟล์ VDO ไฟล์ข้อมูลสาระน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ มาเปิดให้เด็กๆดู

     ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเงินเดือนของผมยังน้อยมากๆ

    ทางเดียวที่ผมจะหามาได้ คือมีผู้สนับสนุน หรือก็ต้องเก็บเงินซื้อเอง....

     เท่าที่พูดมา คือผมกำลังจะอธิบายให้หลายคนที่คิดว่า ผมเป็นพวกสอนพิเศษที่หวังรวย หากินกับเด็กๆ ผมเองก็อยากตอบว่า เอาไว้ผมเอาเวลาไปขายตรง ขายประกันแล้วรบกวนการสอนของผม แบบนั้นคงจะดูไม่ดีมากกว่าไหม...

     ...ส่วนเรื่องที่ผม เดินสายบ่อยๆ (แหม พูดยังกับเป็นดาราเน๊าะ)
     ในใจลึกๆ ผมกำลังทำในสิ่งที่ ทำลายคำว่า "โรงเรียนวัดยางแขวนอู่อยู่ตรงไหนอะ ไม่เคยรู้จัก" เพราะอย่างน้อยๆ เค้าก็จะได้คุ้นชื่อ ครูแชมป์ วัดยางแขวนอู่ไว้บ้าง

     บางคนอาจมองว่า มันสำคัญด้วยเหรอ กับการที่ทำให้โรงเรียนเป็นที่รู้จัก...

     ...สำคัญสิครับ

     ถ้าโรงเรียนเป็นที่รู้จัก โอกาสที่งบประมาณจะเข้ามาก็มากขึ้น โรงเรียนพัฒนาได้มากขึ้น นักเรียนมีสิ่งดีๆไว้ใช้มากขึ้น

     ผมคิดแบบนี้มาตลอด คิดแบบนี้ทุกวินาทีของลมหายใจ และทุกๆที่ที่ผมรัก ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน หรือที่มหาวิทยาัลัยที่สร้างผมมา

     บางที การเสียสละแล้วโดนด่า แต่ทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นมา ผมก็ยอมครับ

     ...เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังทำขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ !!!!!!


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

15 กันยายน 2555

วันเสาร์นี้ไม่มีอบรม

   วันเสาร์นี้ แสนดีใจ

   เพราะไม่มีอบรม มีเวลากวาดบ้านถูบ้านบ้างหละ เสาร์นี้ 555+

   จริงๆแล้ว ก็ยังต้องทำงานแหละครับ ตามวิถีของครูไทย ครูบ้านนอกครับ

   ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

14 กันยายน 2555

อีกบทบาทหนึ่ง กับการเป็นอาจารย์พิเศษครั้งแรก

   ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 และผู้อำนวยการโรงเรียนวัดยางแขวนอู่ ได้มอบหมายให้ครูพิริยะ  ตระกูลสว่าง ไปให้บริการทางวิชาการ ตามหนังสือที่ ศธ ๐๕๓๘.๐๕ / ๙๐๒ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม เป็นอาจารย์พิเศษร่วมสอนในรายวิชา IS363 การจัดการข้อมูลสารสนเทศ กลุ่มสาขาวิชาบรรณรักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี ในวันที่ 14 กันยายน 2555 เวลา 12.30 - 16.30 น.

   เป็นธรรมดาที่จะต้องมีความรู้สึกตื่นเต้นบ้าง แต่พอรู้ว่าน้องๆนักศึกษากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เคยอบรมเมื่อครั้งก่อน อีกทั้งยังขยัน และนิสัยน่ารักทุกคน เลยสบายใจหน่อย

หนังสือเชิญ








 
   ต้องขอบพระคุณอาจารย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปราณี ซื่ออุทิศกุล และขอบคุณน้องๆ ที่น่ารักทุกคนนะครับ ที่ี่ร่วมมือร่วมใจกัน พบกันอีกครั้ง วันศุกร์หน้านะครับ วันศุกร์หน้าสอบ เก็บคะแนน 20 คะแนน นะครับ


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

วิทยากรโครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษา One Tablet per Child รุ่น 2

   วันนี้ ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรการใช้งาน Tablet ตามโครงการ OTPC (ซึ่งตามที่เรียนไปแล้วว่า ไม่รู้ตัวเลยว่ามีความสามารถด้านนี้ ฮาาาา)

   ในการนี้ ขอขึ้นพูดเป็นคิวแรก ก็ถูกพี่พิพัฒน์  ปิ่นจินดา เย้าเล่นว่า "แบบนี้พี่ก็เสียเปรียบสิ จืดหมด" จะว่าไป ก็อยากพูดคู่กับพี่พิพัฒน์บ้าง เพราะอยากรู้ว่า เมื่อนักวิชาการอย่างพี่พิพัฒน์ กับครูบ้านนอกไร้สาระแบบผมมาเจอกัน จะเป็นเยี่ยงไร

ทำความรู้จักแก้เขิน

มีฮาเล็กน้อยจากผู้เข้ารับการอบรม

บุก ถึงที่





คือ... แบบว่า ... มันเครียดขนาดนั้นเลยเหรอครับ


แหม.....



ประชาสัมพันธ์ คนสวย

น้องชายผม มาไม่ทันฟังผมพูดเลยครั้งนี้
    ก็ต้องกล่าวขอบพระคุณทุกๆท่าน ทั้งผู้ดำเนินงาน ทั้งคุณครูผู้เข้ารับการอบรม ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มครูโรงเรียนเอกชน โรงเรียนเทศบาล ครับ ที่มุ่งมั่นตั้งใจครับ

   อย่าลืม เข้าไปแรกเปลี่ยนเรียนรู้กันที่ www.kruchamp.com/teblet นะครับ


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

13 กันยายน 2555

ภารกิจ + ร่างกาย = เหนื่อยมากๆ

   วันนี้เป็นอีก 1 วันที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

   แถมยังมีอาการแปลกๆ

   หายใจขัดๆ เหนื่อยๆ และมีอาการปวดตึงที่ไหล่และคอ

   ผมต้องฝึกสังขาร ทำข้อมูล onet ให้เสร็จ ทำเรื่องถ่ายเอกสารให้เสร็จ สั่งงานเด็กให้เสร็จ ผอ. ก็โทรมาบอกว่า มีข้อมูลนักเรียนที่ไปแข่งเมื่อวานไม่ครบ ให้ตามให้ด้วย ก่อนเที่ยง

   เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว จึงกลับมาเปลี่ยนคอมพ์ที่บ้าน เพื่อไปเป็นคณะวิทยากร ครู ป.1 ใช้ tablet

   ทำไม มันช่างเหนื่อยแบบนี้หนอ ชีวิต 555+

   ... เราคือคนของพระราชา ข้าของแผ่นดิน

   ต้องขอบคุณประชาสัมพันธ์คนสวย ที่แสดงหลักฐานให้คนอื่นได้เห็นว่า ไม่ได้โดดงาน 555+
   http://www.phitsanulok1.go.th/show_info_news.php?show_id=892


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

12 กันยายน 2555

วิทยากรโครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษา One Tablet per Child รุ่น 1

   ระหว่างวันที่ 10 - 12 กันยายน 2555 ได้ร่วมเป็นทีมงานของท่าน ศน.นิพนธ์ ศิริสานต์ อบรมการใช้งาน Tablet ตามโครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษา One Tablet per Child : OTPC ให้แก่ครูชั้นป.1ในสังกัด สพป.พล.1 (คำสั่ง เลขที่)















สำหรับคุณครู มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันที่ http://www.kruchamp.com/tablet/ นะครับ
ขอขอบคุณน้องมิ้ม ประชาสัมพันธ์คนสวย สพป.พิษณุโลก เขต 1 ที่กรุณาถ่ายรูปให้นะครับ

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

 
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ