16 ธันวาคม 2554

กราบพ่อแม่ครูอาจารย์ วัดแพร่ธรรมาราม

     วันนี้ ได้กลับบ้านที่แพร่ เพราะต้องไปร่วมงานสวด และฟังเทศน์ พ่อใหญ่ผจญ วงศ์วรรณ ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านสบสาย ด้วยความเคารพท่าน จึงได้ลาโรงเรียนวันศุกร์เพื่อไปร่วมงาน

     เมื่อไปถึง ก็ทานก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยที่เด่นชัย เป็นอาหารมื้อกลางวัน และเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอพ่อมารับ

     ด้วยความตั้งใจที่จะไปวัดแพร่ธรรมารามอยู่แล้ว จึงได้ชวนพ่อแวะไปที่วัดก่อนจะเข้าบ้าน ทันที่ที่เข้าไปเขตของวัดแพร่ธรรมาราม พระรูปแรกที่กำลังเดินออกมาเพื่อทำความสะอาดบริเวณหน้าวัดก็คือ พ่อแม่ครูอาจารย์ พระอาจารย์เอกราช เขมมานันโท




     ... ด้วยความดีใจ ผมรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งไปกราบท่านบนถนนหน้าวัดนั่นเอง (คิดถึงพระอาจารย์มากครับ ก่อนหน้านี้มีโอกาสไปที่วัดสองครั้งก็ไม่ได้กราบท่าน เพราะครั้งแรก ท่านไปธุดงค์ ครั้งที่สองไปร่วมงานกฐินของวัดสาขา)

     โดยปกติ จะต้องไปที่กุฏิของท่าน แต่ด้วยความเป็นศิษย์วัดป่า และความเมตตาของท่าน (และท่านกำลังจะมาตรวจหน้างานทำประตูที่หน้าวัดพอดี) ท่านจึงนั่งใต้ร่มไม้

     คนที่ไปด้วยได้ถวายหมวกไหมพรม ที่ได้ตั้งใจถักจนถึงตีหนึ่งครึ่งเมื่อวันก่อน เพราะเข้าสู่หน้าหนาวพอดี


     พระอาจารย์เอกราช พูดคุยเรื่องต่างๆ ด้วยความสนุก และไม่ได้กราบพระอาจารย์ตั้งนาน เลยคุยเพลินเลย จากนั้น ท่านก็ได้ให้พระรูปหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น นำหนังสือสวดมนต์ฉบับพิมพ์ปรับปรุงแก้ไข ที่มีบทสวดพิเศษเพิ่มขึ้นอีก และมีแนวคิดว่า น่าจะนำขึ้นบนโลกออนไลน์เพื่อให้ผู้ที่สนใจ โหลดไปสวดเองที่บ้าน

     และท่านยังได้นำ CD ทำวัตรเช้า - เย็น มาให้อีก เผื่อจะได้นำไปฝากครูๆที่โรงเรียน ที่สำคัญ ยังได้นม และน้ำส้ม ซึ่งเป็นของแจกผู้มาวัดอีกชุดหนึ่ง







     ก่อนกลับ พระอาจารย์ได้ให้ผมเดินตามท่านไปที่กุฏิ เพราะจะให้นำเครื่องดื่มมาให้พี่ๆคนงานที่กำลังทำประตูวัดอยู่ และท่านก็ไปเห็นแหวนที่จัดเตรียมไว้อยู่ ท่านจึงเิดินมาที่พ่อผมนั่งรออยู่ (เดินกลับมาที่หน้าวัดอีกครั้ง ช่างสุดยอดของความเมตตาจริงๆ) และได้มอบแหวนให้คนละ 1 วง

    ... ท่านสวมให้ โดยเพื่อนผมถ่ายรูปให้ ท่านบอกว่า "แหวนมั่น" นะเนี่ย

    ... "มั่นในสัจธรรม"



     แหวนนี้ สลักคำว่า "แล้วสิ่งนั้นจะผ่านไป" (ตอนที่อยู่ที่ กุฏิ ท่านได้เล่าที่มาของแหวนนี้ให้ฟัง เดี๋ยวเอาไว้เล่าให้ฟังวันหลังนะครับ โปรดติดตามตอนต่อไป...)

     ความเมตตาของพระอาจารย์เอกราชที่มีต่อผมและครอบครัวช่างมากมายเสียจริงๆ และยิ่งเป็นความเมตตาที่สืบสานจากพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว และท่านพระอาจารย์ใหญ่

     ...เราคือศิษย์มีครู ลูกวัดแพร่ธรรมาราม

09 ธันวาคม 2554

ทำการทดสอบ pre-onet

วันนี้ ทางโรงเรียนได้จัดทำการทดสอบ pre-onet ระดับชั้น ป.6 และ ม.3
วิชาภาษาไทย และคณิตศาสตร์ โยทำการทดสอบเป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง

ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่  โดยเป็นกรรมการกลางและตรวจข้อสอบนักเรียน

เสร็จแล้วทำการกรอกข้อมูลลงในตารางเพื่อรายงานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พิษณุโลก เขต 1

รีบๆทำให้เสร็จ เพราะเวลาที่กำลังจะมาถึง มีแต่งานๆๆๆๆๆๆ นะจ๊ะ





...............................
วัตถุมงคล อ.หนู กันภัย     สอนพิเศษพิษณุโลก

07 ธันวาคม 2554

ท่าน อ.ถาวร พงษ์พานิช

วันนี้ในช่วงค่ำ ได้ไปร่วมงานของท่าน ดร.ถาวร  พงษ์พานิช

     ท่านเป็นอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหารักมาก ขนาดวันนี้ พี่ที่นั่งข้างๆยังเล่าเรื่องสมัยที่ได้ทำงานกับท่าน ตอนที่ท่านเป็นครู ท่านขี่รถผ่านหน้าบ้านแต่เช้ามืด แล้วตะโกนเรียก "ตื่นได้แล้ว ไปสอนเด้กได้แล้ว" เล่นเอาพี่คนนั้นไม่กล้าไปดื่มเหล้า เพราะกลัวตื่นมาสอนหนังสือไม่ทัน

     ผมได้ข้อคิดจากวันนี้อีกเรื่องหนึ่ง

     คนดี ย่อมมีคนรัก และมีคนพูดถึง เราถึงวีรกรรมที่ผ่านมาด้วยความสุข

     แม้แต่ผมเอง ที่ได้มีโอกาสทำงานกับท่านเพียงสองครั้ง แต่ก็มีความรู้สึกว่า ท่านเป็นดังครู ผู้มากล้นด้วยความเมตตาอีกท่านหนึ่ง

     ท่านเป็น ผอ. สำนักวิจัยที่ผู้ร่วมงานทุกคนรักมาก รวมไปถึงอีกหลายท่าน เพราะผมสังเกตจากจำนวนพวงหลีก และผู้เข้ามาร่วมงาน ที่เป็นทั้งผู้มีเกียรติในสังคม ครูบาอาจารย์ ด๊อกเตอร์ ผศ. รศ. ฯลฯ ทั้งนั้น นี่แหละ ผลของการกระทำของท่านที่ผ่านมา

     ในระหว่างที่นั่งรอพระนั้น ผมก็หยิบปากกามาเขียนกลอนความในใจที่มีต่อท่านขึ้นมาบทหนึ่ง



กราบอาลัย ดร.ถาวร พงษ์พานิช

     อีกหนึ่งเสียง ข่าวคราว ที่แสนเศร้า                               
ของปวงเรา ชาวพิบูลฯ หวั่นใจยิ่ง
แต่ก็คือ สัจธรรม ของความจริง                                                      
ว่าทุกสิ่ง ย่อมพราก และจากไป
     ท่านเป็นครู เป็นแบบอย่าง ของชีวิต                             
เหล่าปวงศิษย์ ต่างเชิดชู ผู้ยิ่งใหญ่
ท่านเป็นแม่ คนที่สอง ปกครองใจ                                                
เหนืออื่นใด มากล้น ด้วยเมตตา
     ท่าน ดร. ถาวร พงษ์พานิช                                             
คือผู้ที่ปวงศิษย์คิดครวญหา
ได้ความรู้ ได้ความรัก แต่ก่อนมา                                                    
ต้องจากลา พรากไป ไวเกินนัก
     วันที่ห้า ธันวาคม ขื่นขมยิ่ง                                             
สูญทุกสิ่ง สูญคนดี ที่รู้จัก
สูญกำลัง สูญดวงใจ ที่เรารัก                                                          
ยากจะหัก ห้ามจิตไว้ ไม่หม่นหมอง
      ไม่มีท่าน ถาวรแล้ว ในวันนี้                                           
คุณความดี ของท่าน ยังกึกก้อง
ขอดวงจิต ท่านสู่สุดขอบฟ้าทอง                                                    
ศิษย์ทั้งผอง ขอรำลึก สำนึกคุณ


                                                                                                             ด้วยจิตคารวะ
                                                                                                    นายพิริยะ ตระกูลสว่าง
                                                                                                        ธันวาคม 2554

กีฬากลุ่มโรงเรียนบางระกำ - ท่านางงาม

วันนี้ทางโรงเรียนวัดยางแขวนอู่ ได้เข้าร่วมกิจกรรมกีฬากลุ่มโรงเรียนบางระกำ - ท่านางงาม เด็กๆมีความตื่นเต้นมากมายที่ได้เล่นกีฬา (และไม่ต้องไปโรงเรียน 555)

ขบวนกองทัพวัดยางแขวนอู่

ประธานนักเรียน

วันนี้ตื่นเช้ากว่าปกติกันเหรอ... นักเรียน

ท่าน ผอ. กับ โค้ช ใหญ่ของทีม

พิธีเปิด

แหม มากันใหญ่

เจ๊ เค้ามาแข่งกีฬากันนะ

หลักฐานคามือ.. (โครงการดีๆ ใครอยากรู้ว่าเป็นอะไร ติดต่อพี่ปอเอาเอง โครงการดีที่ไม่น่าพลาด)

ฟุตซอล

โค้ชเล็ก พาอบอุ่นร่างกาย

ถ้าแพ้ จะโดนแบบนี้ (พับกางเกงเข้าชายเสื้อซะเหมือนเลยนะ)



ติดตามต่อ อีกสองวันนะครับ

06 ธันวาคม 2554

ก็แค่อีกวันหนึ่ง (ที่ต้องเสี่ยงตาย) ของครูบ้านนอก

     วันนี้ ถ้าผมออกมาเร็วไปสิบนาที...

     ... ผมคงไม่ได้มีโอกาสมานั่งเขียนเล่าให้คุณอ่านเหมือนตอนนี้

     หลายท่านที่ติดตามอ่านบันทึกของครูบ้านนอก ก็คงพอทราบบ้างแล้วว่า ผมต้องขี่จักรยานยนต์มาปฏิบัติราชการ ซึ่งต้องเสี่ยงกับรถน้ำมัน รถบรรทุก รถเมล์ และรถอื่นๆอีกมากมาย

    ข้อดีก็คือ ผมต้องตั้งนะโมสามจบ ท่องชินบัญชร และคาถาอีกหลายบทกว่าจะถึงโรงเรียน รวมไปถึงตอนกลับบ้านด้วย (มันทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องครูที่อยู่สามจังหวัดชายแดนฯ ว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อมีลมหายใจกลับบ้าน) และความรู้สึกของผมคงเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆเท่านั้นเองเมื่อเทียบกันกับพวกเขา

     ด้วยความเป็นข้าราชการครูที่เงินเดือนน้อย เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิต ผมก็ต้องเดินทางไปทำงานด้วยวิธีนี้ หลายคนอาจมองว่า ทำไมถึงไม่ซื้อรถขับ ผมก็ตอบทุกๆคนด้วยคำตอบเดียวกันว่า "ไม่มีเงินซื้อ" และถ้าซื้อ ก็คงไม่มีเงินเติมน้ำมัน

     แม้ว่า ช่วงทีผ่านมา อาจมีบางโอกาสที่ผมได้เงินจากการเป็นวิทยากร แต่เงินเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นหนังสือเล่มใหม่ๆ ที่เข้ามาประดับความรู้ และใช้ประโยชน์กับวงการศึกษา 

     บางครั้ง ผมก็คิดว่า ถ้าเราเก็บเงินซื้อรถ เราก็ขนเพียงสังขารของเราไป - กลับ 
     ... แต่ถ้าเราเอาเงินไปซื้อหนังสือ เอาเงินไปทำสื่อ สร้างสื่อมาสอนเด็ก เราสามารถขนเด็กๆ ไปสู่ฝั่งฝันได้อีกหลายคน

     ตอนนี้ ผมยังไม่มีภาระอะไรมาก จึงขอคิดแบบนี้ก่อน และก็คงจะคิดต่อไป ถ้ายังไม่เป็นอะไรไป...

     เล่ามาเสียนาน ยังไม่ได้บอกเลยว่า วันนี้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ... ไปชมภาพกันดีกว่าครับ




     สำหรับผม การเสี่ยงตายเพราะรถอ้อยนี้มีหลายครั้ง ตั้งแต่เทียวอยู่ที่ อ.ไทรงามแล้ว (เดี๋ยวจะลองไปค้นคลิปเก่าๆมาให้ดูนะครับ) ส่วนครั้งนี้ วันนี้ เป็นการเตือนสติได้อย่างดีว่า "เราต้องดำเนินชีวิตทุกย่างก้าวอย่างมีสติ"

     เพราะยังไม่ได้เป็นปลัดกระทรวงเลย... (ฮาาา)

     ถ้าวันนี้ ผมออกมาถ่ายเอกสารข้อสอบ Pre - onet ของชั้น ป.6 และ ม.3 เร็วกว่านี้สักสอบนาที ผมคงได้ไปชิมน้ำอ้อยอย่างใกล้ชิดแน่ๆ


     มันเป็นความเสี่ยงที่ต้องทำทุกวัน

     ผมเคยคิดได้ว่า ทำไมเราถึงต้องสวมเครื่องแบบข้าราชการในวันจันทร์ คำตอบที่ได้เกิดขึ้นตอนที่ต้องลุยลูกรังเข้าโรงเรียน "อ๋อ สีมันกลมกลืนกับฝุ่นนั้นเอง" เราคือคนของพระราชา ทำงานที่พระราชาทรงมอบให้

     หลายครั้งหลายครา ที่ข้อคิดดีๆมักเกิดหลังจากได้รู้ได้เห็นอะไรมา

     ...รวมถึงประสบการณ์เฉียดตายด้วย 

    (นึกถึงตอนที่ถนนเส้นเข้าโรงเรียนกำลังจะราดยาง ผมอยู่ห่างล้อรถสิบล้อไม่ถึงฟุต ไม่รู้เค้าจะรีบไปไหนนักหนา นั่นแหละ ถึงเป็นที่มาของครูวิทย์ ที่ห้อยพระ ห้อยตะกรุดเต็มตัว)

    ผมเชื่อว่า ใครๆก็กลัวตาย
    เว้นแต่ผู้ฝึกสติมา เค้าก็จะไม่กลัว และกล้าเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ

     ไอ้ผมมันก็คนธรรมดา ยังฝึกไม่มากพอ มันก็กลัวบ้าง (จะเห็นได้ว่า เขียนไปหลายบทความแล้ว) 

     จริงๆแล้ว ผมกลัวในสิ่งที่ผมอยากจะทำ แต่ยังไม่ได้ทำต่างหาก

     ... ผมอยากเป็นปลัดกระทรวง จะได้มีอำนาจกระจายครูให้ครบทุกที่จริงๆ ไม่ใช่ไปกระจุกตัวช่วยราชการกันที่โรงเรียนใหญ่ ส่วนโรงเรียนบ้านนอก ครูขาดแล้วขาดอีก รวมไปถึงกระจายอุปกรณ์ทางการศึกษาให้เท่าเทียม ไม่ใช่แจกแต่โรงเรียนใหญ่ ไล่เรียงลงมา โรงเรียนเล็กๆ ก็ขาดแล้วขาดอีก

      ... ผมอยากเผยแพร่งานเขียนของผมเอง 

      มีหลายเรื่องที่เขียนขึ้นมา แต่ยังไม่ได้พิมพ์ อาจเป็นเพราะมือไม่ถึง หรือไม่ตรงกับความต้องการของตลาด เค้าเลยไม่สนใจกัน
     มีเรื่องนึงนะครับ ที่อยากให้พิมพ์เผยแพร่ เป็นนวนิยายขนาดสั้น ไม่ถึงร้อยหน้า เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็กๆ จนเธอโตมา เธอจึงแสวงหาความรัก และเอาร่างกายเข้าแรก จริงๆแล้วมันเป็นเค้าโครงเรื่องจริงเลยหละครับ ผมสัญญากับเจ้าของเรื่องว่าจะเขียน และก็เขียนจนจบ น่าเสียดายที่ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนสนใจ  (ผมอยากเอาไปนำเสนอเขตพื้นที่ฯ เพราะทางเขตฯ มีนโยบายให้นักเรียนหญิงรักนวลสงวนตัว แต่มันจะคุ้มกับเวลาที่เค้าเสียไปหรือเปล่าก็ไม่รู้) แต่ถ้าต้องการจะให้นักเรียนรักตัวเอง ไม่มี sex ก่อนเวลาอันควร ผมว่า มันก็เป็นสื่ออีกรูปแบบหนึ่งนะครับ

     ผมอยากทำอีกหลายๆอย่าง

     ที่สำคัญ อยากบอกเล่าเรื่องราวของวงการครู ความสุข ความภูมิใจ และความทุกข์ยากที่คนในวงการศึกษาเค้าพอเจอกัน

      อย่าลืมติดตามอ่านบันทึกของครูบ้านนอกนะครับ แล้วคุณอาจได้มองเห็นอีกมุมนึงของคนเป็นครูครับ

05 ธันวาคม 2554

มีทุกอย่างเพราะในหลวง เหตุผลที่อธิบายได้ไม่จบสิ้น

     ผมมีชีวิตเพราะพ่อแม่
     ผมได้เรียนรู้หลักธรรมจาก พ่อแม่ครูอาจารย์ พระอุปัชชาย์ พระอาจารย์ต่างๆ
     ผมได้เรียนหนังสือ เพราะมีคนเขียนตำรับตำรา
     ผมมีเงินเลี้ยงชีพ เพราะเป็นข้าราชการครู
     ผมมีถนน ให้ขี่มอเตอร์ไซต์ ไปเรียนได้ เพราะมีถนน
     ผมมีข้าวกิน เพราะชาวนา
     ผมปัญญา เพราะทำตามแนวพระราชดำริ
     ผมมีความรักชาติ เพราะเป็นทหารของพระราชา แม้จะเป็นกองหนุน ก็ตาม
     ผมเป็นคนดี ไม่ทุจริต เพราะเกรงกลัวต่อบาป ที่บังอาจทำต่อหน้าพระพักตร์ (พระบรมฉายาลักษณ์บนเงินตรา)
     ผมอดทนทำงานที่ยากลำบาก เพราะพระองค์ ทรงงานที่หนักและลำบากยิ่งกว่าเป็นแบบอย่าง
    และอีกหลายๆอย่าง ที่ผมมี

     ผมนายพิริยะ  ตระกูลสว่าง มีทุกอย่าง... เพราะพระเจ้าแผ่นดิน

     ผมรักในหลวงครับ

29 พฤศจิกายน 2554

เป็นครูนี่ ยากจริงๆ

กว่าจะเรียนจบครู ก็ว่าลำบากแล้ว

กว่าจะสอบเข้าได้ ก็ว่ายากแล้ว

กว่าจะดำเนินชีวิต ให้เป็นวิชาีชีพครู ก็ใช้เวลามากแล้ว

นี่ต้องมาทำหน้าที่ปรับปรุงนิสัย "มาร" ให้ลดน้อยถอยไป ก็นับว่ายากยิ่ง

ไปเจอกรณีพ่อแม่รังแกฉัน ก็ต้องถือว่า เป็นกรรมของเด็กมัน คงต้องเตรียมแผนที่และเบอร์โทรของสถานพินิจ และเรือนจำกลางไว้ให้ผู้ปกครองล่วงหน้า

ขนาดมันเป็นเด็ก ยังกล้าเลวขนาดนี้ ... แล้วถ้าไม่รีบจัดการ จะเติบโตเป็นเศษสังคมขนาดไหน คิดเอาเอง...

เด็กชกต่อย ทะเลาะวิวาท สูบบุหรี่ ทำร้ายผู้หญิง ไม่ตั้งใจเรียน... ครูมีสิทธิลงโทษได้เพียง ว่ากล่าวตักเตือน และให้ไปเก็บเศษกระดาษ ... บัดซบจริงๆ  หรือจะรอให้ฆ่าคนตายก่อน แล้วค่อยลงโทษรุนแรง

(รัฐมนตรีคนไหนเอาไม้เรียวออกจากระบบ เพราะดันไปคิดว่า ขอให้มีส่วนรับเวรกรรมนี้ สืบไปยังลูกหลานอีก 7 ชั่วโครตเทอญ)

28 พฤศจิกายน 2554

วันนี้ของขึ้น

สวดมนต์เสร็จแล้ว...


หลังจากที่เครียดกับพฤติกรรมของนักเรียนในวันนี้

หากเชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม เราอาจเชื่อได้ว่า... น้ำลืมอดีต ไม่ได้ทำให้นิสัยที่ติดมาจากขุมนรก หมดไปเลยซะทีเดียว เป็นหน้าที่ของครู ที่ต้องขัดเกลา และทำให้สิ่งเหล่านี้เจือจางไป
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ