การออกกำลังกายที่ต้องออกแรงให้รู้สึกเหนื่อยหอบปานกลาง ทำให้หัวใจเต้นสูบฉีดต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสมและอย่างสม่ำเสมอ ช่วยทำให้ปอดและหัวใจแข็งแรง สุขภาพโดยรวมแข็งแรง ห่างไกลโรคร้ายอย่างโรคอ้วนหรือเบาหวานได้อย่างสบายๆ
การออกกำลัง กายเรียกเหงื่อจะทำให้เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กะเปร่า ซึ่งเมื่อเสียเหงื่อก็ต้องดื่มน้ำเปล่าเข้าไปชดเชยน้ำที่สูญเสียไปจากร่าง กายในรูปของเหงื่อ โดยการดื่มน้ำที่ได้สมดุลต่อสุขภาพร่างกายของคุณตั้งแต่ทั้งก่อน ระหว่างและหลังออกกำลังกายต้องมีปริมาณมากน้อยเพียงใด เรามีคำแนะนำง่ายๆ ค่ะ
ก่อนออกกำลังกาย
ควรดื่มน้ำให้ เพียงพอ ประมาณ 400-600 มล. (1-1 ½ ขวดกลาง) ก่อนการออกกำลังกายทุกชนิดล่วงหน้าสัก 1-2 ชั่วโมง และอีก 200-400 มล. (1/2 -1 ขวดกลาง) ก่อนออกกำลังกายประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการจุกเสียดท้อง
ระหว่างการออกกำลังกาย
ขณะ ออกกำลังกายอย่างสนุกสนาน ร่างกายจะขับเหงื่อเพื่อปรับและรักษาอุณหภูมิไว้ให้สมดุล ดังนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ในกรณีที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 60 นาที คุณควรพักดื่มน้ำทุกๆ 15-20 นาที ครั้งละ 200 มล. (1/2 ขวดกลาง) ทั้งนี้ในกรณีที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังขาดน้ำ เช่น คอแห้ง น้ำลายเหนียว ก็ควรพักดื่มน้ำสักหน่อยก่อนกลับไปออกกำลังกายต่อ สัก 2-3 อึกก็ยังดี หรือถ้าออกกำลังกายที่มีความหนักและสูญเสียเหงื่อมาก อาจดื่มน้ำเกลือแร่เสริมได้ เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด ป้องกันไม่ให้เหนื่อยอ่อนแรงและช็อค ซึ่งจะให้ดีเครื่องดื่มนั้นควรมีอุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส เพื่อเพิ่มการดูดซึม
หลังการออกกำลังกาย
การ ดื่มน้ำชดเชยเหงื่อที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับความหนัก เปรียบเทียบง่ายๆ ด้วยการชั่งน้ำหนักก่อนและหลังการออกกำลังกาย (ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าหลังออกกำลังกายหรือซาวนาแล้วจะผอมทันที เพราะจริงๆ แล้ว น้ำในร่างกายสูญเสียไปต่างหาก) หรือปริมาณปัสสาวะที่ขับออกมาก็ได้ ถ้าปัสสาวะมีสีเข้มแสดงว่าดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และพยายามหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ดัง นั้นระหว่างการออกกำลังกาย อย่ามัวแต่สนุกสนานกับการเผาผลาญพลังงานจนลืมดื่มน้ำนะคะ มิฉะนั้นอาจจะหมดเรี่ยวแรง และอาจเกิดอาการขาดน้ำจนถึงช็อคได้ ส่วนน้ำที่ดีที่สุดเมื่อออกกำลังกายก็คือ น้ำเปล่า...ทั้งนี้รวมถึงคนที่ทำกิจกรรมทั่วไปก็ต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว นะคะ...วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง?
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นครับ