แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สาระ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สาระ แสดงบทความทั้งหมด

08 เมษายน 2555

ตรวจสอบ Dead Pixel บน iPhone

มาตรวจสอบ Dead Pixel บน iPhone กันเถอะครับ


มาเช็ค Dead Pixel แบบง่ายๆกันดีกว่า     ขณะนี้ กระแสเทคโนโลยีก้าวไกลมากมาย จนบางครั้งเราก็ต้องกลับมามองว่า กระแสนี้เกิดจากความต้องการจริงๆ หรือว่าเราต่างไปหาเหตุผลมาสนับสนุนตัวเราเองว่า "มันคือความจำเป็น"

     ยิ่งในตอนนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายแจก tablet ครูก็ยิ่งต้องศึกษาหาความรู้ เรียนรู้วิธีใช้งานเบื้องต้น และการตรวจสอบสินค้าเบื้องต้นว่ามีคุณภาพอย่างไร (อันนี้ รวมไปถึงทุกท่านที่ต้องการจะมีไว้ในครอบครองด้วยนะครับ)

     Dead pixel หรือจุดบอดของคอมพิวเตอร์ เป็นอาการที่พบมาในจอ LCD หรือแม้กระทั้งจอ สมาร์ทโฟน ทำให้แสดงผลผิดเพี้ยน เกิดเป็นจุดที่ตำตาตำใจของผู้ซื้อมากๆ เราจึงต้องตรวจสอบก่อนออกจากร้าน เพราะหากพบปัญหาก็ได้จะได้เปลี่ยนเครื่องทันที นี่ยังไม่รวมปัญหา Bright pixel หรือจุดขาวที่ปรากฏบนจอตลอดเวลา (ประหนึ่งฝ้าถาวรที่รบกวนใจเวลาส่องกระจกเลยละ)


อ่านต่อฉบับสมบูรณ์ที่ มาเช็ค Dead Pixel แบบง่ายๆกันดีกว่า




...............................

18 มีนาคม 2555

ดวงอาทิตย์ ถูกดาวเคราะห์สีดำ ดูดพลัง


   ไปเจอใน msn มา เลยเอามาฝากครับ


    กล้องโทรทัศน์ของศูนย์สังเกตการณ์พลังขับเคลื่อนสุริยะของนาซา ได้จับภาพวัตถุสีดำคล้ายดาวเคราะห์ขนาดเท่ากับโลก เคลื่อนตัวเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และมีลำแสงสีดำเข้าหาดวงอาทิตย์
โดยคลิปภาพดังกล่าวถูกอัพโหลดขึ้นบนเว็บไซต์ยูทูบ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา และสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก

    เหล่านักดาราศาสตร์ ยังไม่ทราบว่ามันคือดาวเคราะห์ หรือยานลึกลับใด ๆ แต่คาดว่าวัตถุดังกล่าวอาจเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่ได้เคลื่อนผ่านระบบสุริย จักรวาล แต่เกิดขึ้นใต้พื้นผิวโลก
และมีความเย็นกว่าวัตถุสุริยะรอบข้าง ซึ่งจากภาพที่เห็นมีความเป็นไปได้ว่าวัตถุสีดำนั้นกำลังดูดพลังงานเชื้อ เพลิงจากดวงอาทิตย์เข้าสู่พื้นผิวของมัน ก่อนจะโครจรออกไป




...............................

17 มีนาคม 2555

สเตียรอยด์

สาระจาก msn ครับ

รู้จักกับ สเตียรอยด์

มีคุณอนันต์-มีโทษมหันต์ น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ดีที่สุดของยาที่จัดอยู่ในประเภท œสเตียรอยด์

รู้จักกับ สเตียรอยด์
œมีคุณอนันต์-มีโทษมหันต์ น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ดีที่สุดของยาที่จัดอยู่ในประเภท œสเตียรอยด์ และจะว่าไปแล้วในสรีรวิทยาและการแพทย์ของมนุษย์ ก็มีสารสเตียรอยด์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอยู่หลายส่วน โดยบทบาทสำคัญของสเตอรอยด์ในระบบชีวิตส่วนใหญ่คือ การเป็นฮอร์โมน
สเตียรอยด์ เป็นชื่อเรียกของกลุ่มฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างจากต่อมหมวกไต ซึ่งสเตียรอยด์ที่ถูกสร้างขึ้นมีหลักๆ อยู่ 2 ชนิด คือ คอร์ติโซล (Cortisol) ซึ่งจะถูกหลั่งออกมาเมื่อร่างกายมีภาวะเครียดเกิดขึ้น เพื่อช่วยควบคุมภาวะเครียดหรือความกดดันเหล่านั้น และ อัลโดสเตอโรน (Aldosterone) ที่ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย หากมีอัลโดสเตอโรนหลั่ง ออกมามากเกินไปก็จะทำให้ร่างกายขับโปแตสเซียมออกมาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง และทำให้มีความดันโลหิตสูงได้
สำหรับสเตียรอยด์ที่ใช้เป็นยานั้น เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค รวมถึงใช้ทดแทนในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนดังกล่าวได้ ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงสเตียรอยด์เฉพาะในส่วนที่เป็น ยา เท่านั้น
สเตียรอยด์ อาจเรียกได้ว่าเป็นยามหัศจรรย์ โดยจากคุณสมบัติอันน่าทึ่งของยาประเภทนี้ทำให้มันถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ กันอย่างกว้างขวาง บางชนิดก็เป็นฮอร์โมนเพศ บางชนิดก็ควบคุมระบบ เมตาบอลิกของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน บางชนิดก็ควบคุมเกลือแร่ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสมบัติในการต้านการอักเสบของมัน ซึ่งทำให้นายแพทย์ฟิลลิป เฮนช์ ได้รับรางวัลโนเบล ในฐานะที่เป็นผู้นำยาคอร์ติโคสเตียรอยด์มาใช้รักษาโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ อย่างได้ผลดีมาก แต่ก็เพียงระยะแรกๆ เท่านั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปพบว่าคนไข้ที่กินคอร์ติโคสเตียรอยด์ในขนาดสูงๆ และเป็นเวลานาน จะมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น ซึ่งทำให้วงการแพทย์ต้องกลับมาทบทวนการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์กันใหม่อีก ครั้ง และนำมาสู่การควบคุมการใช้ยาชนิดนี้ในที่สุด
ตัวอย่างยากลุ่มสเตียรอยด์ ข้อสังเกตตัวยาที่มีสารสเตียรอยด์ก็คือ ชื่อยาส่วนใหญ่มักลงท้ายด้วย -one  หรือ -ol เสมอ เช่น Hydrocortisone Prednisolone Triamcinolone, Fluocinolone Betamethasone Clobetasol, Desoximetasone Prednicarbate, Mometasone, Beclomethasone Budesonide Dexamethason นอกจากนี้ ยาสเตียรอยด์มักถูกนำมาใช้กับผู้ป่วยที่เกี่ยวข้อกับโรคข้อ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลูปัส (SLE) โรคข้อเสื่อม โรคข้อสันหลังอักเสบชนิดติดยึด โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคไตอักเสบ โรคหืด โรคการอักเสบของระบบประสาท บางชนิด โรคเลือดบางชนิด เป็นต้น
อันตรายจากสเตียรอยด์ เนื่องจากสเตียรอยด์มีผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกายเกือบทุกระบบ การใช้สเตียรอยด์จึงอาจนำไปสู่อันตรายมากมาย ที่สำคัญได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อราได้ง่าย, มีผลทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารบางลง จึงเกิดแผลในกระเพาะได้ง่าย, ยับยั้งการเจริญเติบโตของร่างกาย จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังอย่างมากโดยเฉพาะกับเด็ก และกรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อร่วมด้วย ห้ามใช้สเตียรอยด์โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ การใช้สเตียรอยด์ยังมีผลทำให้กระดูกผุ ผิวหนังบาง และอาจทำให้มีอาการบวม ขนดก ผิวเข้มขึ้น เป็นต้น ซึ่งอันตรายจากยาสเตียรอยด์นั้น ส่วนมากมักเกิดจากการใช้ยาผิดขนาด การใช้โดยไม่มีความจำเป็นหรือการใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น รับประทานยาตอนท้องว่าง ใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจทำให้มีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น ต้องพึงระวังในการใช้ยาโดยเฉพาะยาลูกกลอนที่มักมีส่วนผสมของสเตียรอยด์
คำเตือน เนื่องจากยากลุ่มสเตียรอยด์มีความเป็นพิษสูงและเป็นอันตราย จึงต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้สั่งจ่ายเท่านั้น เนื่องจากก่อนที่แพทย์จะตัดสินใจใช้ยาสเตียรอยด์ ต้องคิดใคร่ครวญและชั่งน้ำหนักแล้วว่าประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับต้องมี มากกว่าผลร้ายจากอาการข้างเคียง จึงจะอนุญาตให้ใช้ยานี้ได้
ขนาดหมอจะ จ่ายยาสเตียรอยด์ยังคิดแล้วคิดอีก คนไข้เองเสียอีกที่ไม่ได้รู้เรื่องการแพทย์อะไรมากมายเลย แต่หลายท่านก็เก่งขนาดวินิจฉัยโรคตัวเองได้ แถมยังชอบซื้อยามากินเองอีกต่างหาก ดังนั้น หลายต่อหลายท่านเหล่านั้นจึงมักได้พิษภัยของสเตียรอยด์เป็นของแถมมาด้วยโดย ไม่รู้ตัว
ใช้ให้เป็น ก็เป็นคุณอเนกอนันต์ แต่ถ้าใช้แบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็ต้องเสี่ยงกับโทษมหันต์เป็นธรรมดา


ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน
ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info





...............................

16 มีนาคม 2555

แม่เป็นไมเกรนลูกจะเป็นโคลิค

สาระจาก msn ครับ
พบความเชื่อมโยง แม่ที่มีประวัติปวดหัวไมเกรน ลูกน้อยก็จะมีอาการโคลิค ร้องไห้ส่งเสียงดังโยเย


แม่เป็นไมเกรนลูกจะเป็นโคลิค
'โคลิค' ซึ่งเกิดขึ้นกับเด็กน้อยที่มีอายุระหว่าง 2-3 สัปดาห์ แต่จะหายไปเมื่อเด็กอายุเลยวัย 3 เดือนไปแล้ว  เด็กที่เป็นโคลิคจะสังเกตได้ง่าย จากอาการหน้าแดง กำมือแน่น ยกขาชูสูงขึ้นมาถึงหน้าอก ร้องไห้เสียงดังนานราว 2-3 ชั่วโมง อาการมักเกิดขึ้นหลังการกินนมผ่านไป 15 นาที
สำหรับสาเหตุของอาการโค ลิคนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่มักเชื่อว่า มีอากาศในท้องเด็กมากเกินไปโดยไม่ได้เรอออก ท้องของเด็กแน่นไปด้วยลมจนรู้สึกปวดท้อง นอกจากนี้ยังอาจเป็นเพราะลำไส้ของเด็กทำงานหนักเพื่อที่จะขับของเสียออกจน เริ่มเป็นตะคริว
ล่าสุด นักประสาทวิทยาในเด็ก ประจำศูนย์ศึกษาอาการปวดศีรษะ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก สหรัฐ นำโดย ดร.เอมี เกลแฟนด์ ออกมาเปิดเผยว่า คุณแม่ที่ในอดีตเคยมีประวัติปวดหัวไมเกรนมากกว่า 2 ครั้งต่อวันขึ้นไป มีส่วนทำให้ลูกน้อยวัยแบเบาะมีอาการโคลิค
จากกลุ่มตัวอย่าง แม่ 154 คน ที่มีลูกอ่อน พบว่า เด็กที่เป็นโคลิค ร้อยละ 29 มีแม่ที่เคยปวดหัวไมเกรน ขณะที่เด็กๆ อีกร้อยละ 11 ไม่เป็นโคลิคและแม่ของพวกเขาก็ไม่เคยปวดหัวไมเกรนมาก่อนด้วย
ไม่ใช่ สำรวจแต่กับแม่เท่านั้น ทีมวิจัยยังสอบถามกับพ่อเด็ก ทำให้ทราบอีกว่า เด็กเป็นโคลิค ร้อยละ 22 มีพ่อที่เคยปวดหัวไมเกรน ส่วนเด็กที่ไม่เป็นโคลิค ร้อยละ 11 นั้น ป๊ะป๋าไม่เคยปวดหัวไมเกรนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ผลของการวิจัยเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น หากมีผลวิจัยลงลึกเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างอาการปวดหัวไมเกรนของแม่กับ อาการโคลิคของลูกเพิ่มเติม มุมสุขภาพก็จะนำมาอัพเดทให้ทราบต่อไป แต่ระหว่างนี้ คุณแม่และคุณพ่อลูกอ่อนสามารถลองสำรวจอาการปวดไมเกรนของตนเอง แล้วดูสิว่า เจ้าตัวเล็กของคุณร้องไห้โยเยเข้าข่ายโคลิคหรือไม่
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




...............................

15 มีนาคม 2555

โคลิก เมื่อเด็กร้อง 3 เดือน

สาระจาก msn ครับ


โคลิก (Colic) ไม่ถือว่าเป็น โรค แต่เป็น อาการ ที่มักเกิดขึ้นกับทารกในช่วงอายุประมาณ 3 เดือนแรก และทำให้คุณพ่อคุณแม่มากมาย (โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่) ที่เจออาการนี้ต้องกลุ้มอกกลุ้มใจกันถ้วนหน้า จนบางคนกินไม่ได้นอนไม่หลับถึงกับป่วยไปเสียเองทีเดียว

อาการ
เนื่อง จากการร้องไห้ของเด็กทารกนั้นมาจากหลายสาเหตุ ทั้งจากความหิว ฉี่ อึ ปวดท้อง ท้องอืด เจ็บ ระคายเคือง หรือไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว สิ่งที่เด็กสื่อออกมาเพื่อบอกพ่อแม่ก็คือ ร้องไห้ ทั้งสิ้น ดังนั้น จะสังเกตได้อย่างไรว่าเด็กร้องแบบไหนคืออาการโคลิก และร้องแบบไหนมาจากเหตุผลของความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว?
ลักษณะที่ สังเกตได้ว่าเจ้าตัวน้อยของคุณกำลังเกิดอาการ โคลิก ก็คือ เจ้าหนูจะตั้งหน้าตั้งตาแผดร้องไห้ด้วยอารมณ์รุนแรงเหมือนโมโหสุดเหวี่ยง บางรายเรียกว่าตะเบ็งเสียงร้องอย่างเอาเป็นเอาตายทีเดียว ทั้งกำหมัดแน่น หน้าแดง หน้าท้อง แขน ขา งอและเกร็งจนน่ากลัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเริ่มเกิดเมื่อเด็กอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ และเป็นอยู่นานมากกว่า 3 เดือน โดยจะมีอาการเหล่านี้วันละประมาณ 3 ชั่วโมง (ระยะเวลาในการร้องของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายหรือเย็น) และเกิดขึ้นบ่อยๆ คือมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ โดยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในทารกเพศชายและเพศหญิง ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองและค่อย ๆ ดีขึ้นภายในอายุ 4 เดือน อย่างไรก็ตาม เด็กที่มีอาการโคลิกโดยที่ไม่ได้มีอาการผิดปกติของโรคอื่นใด จะสามารถทานนมได้เป็นปกติและยังคงมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี

สาเหตุ
อาการโคลิกในเด็กนี้ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้ชัดเจน เพียงแต่สันนิษฐานว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากหลาย ๆ ประการร่วมกัน ตั้งแต่ระบบทางเดินอาหาร จิตวิทยาระบบประสาทและพัฒนาการในทารกย อย่างไรก็ตามอาการโคลิกจะพบได้ในโรคหลายโรค แต่จะเป็นสาเหตุได้น้อยในโคลิก และโรคเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีอาการแบบเฉียบพลัน เช่น ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ท้องผูก แพ้นม การขย้อนหรือสำลักอาหาร แผลที่รูทวาร การติดเชื้อในร่างกาย เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ การได้รับอุบัติเหตุ เช่น กระดูกหัก แผลที่ตาดำ แมลงเข้าไปในหู เป็นต้น
เนื่องจากขณะที่ทารกร้องไห้จะมี ท่างอขาไปชิดหน้าท้อง ทำให้มีการสันนิษฐานอีกว่าทารกน่าจะมีความผิดปกติที่ระบบทางเดินอาหาร การที่ทารกร้องไห้มากๆ ทำให้มีการกลืนก๊าซเข้าไปลำไส้มาก เป็นผลให้แน่นท้อง ไม่สบายตัว นอกจากนี้ เนื่องจากยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของอาการนี้ ทำให้มีการสันนิษฐานว่า โคลิก เป็นอาการของเด็กทารกบางกลุ่ม ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่ œร้องไห้มากกว่าทารกทั่วไป เท่านั้น ซึ่งหากเป็นจริง การร้องไห้อย่างไม่ลืมหูลืมตาของเด็กกลุ่มนี้ ก็ถือว่าเป็น œเรื่องปกติ สำหรับพวกเขาแล้วล่ะ!

คำแนะนำ
คุณ พ่อคุณแม่ที่ต้องเผชิญกับอาการโคลิกของลูกน้อย ควรทำความเข้าใจและความความเครียดหรือความกังวลใจลงก่อนเป็นเบื้องต้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ระบบประสาทและการพัฒนาการต่างๆ ของลูกน้อยก็จะดีขึ้นและอาการโคลิกก็จะหายไปได้เองในที่สุด สิ่งที่พอจะช่วยบรรเทาให้ลูกน้อยคลายจากอาการนี้ได้บ้าง ก็คือ การสร้างบรรยากาศที่สงบและผ่อนคลายให้กับเด็ก เช่น เสียงเพลงบรรเลงเบาๆ  เสียงเพลงกล่อม รวมทั้งคำปลอบโยนเบาๆ โอบกอดให้เด็กสัมผัสรับรู้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมอกพ่อแม่ และพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ลูกน้อยเกิดอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวให้ มากที่สุด
ความจริงแล้ว หากการร้องของเด็กเกิดเพราะอาการโคลิก ก็คงไม่น่าห่วงมากนัก แต่สิ่งสำคัญคือเขาร้องเพราะโคลิกจริงหรือ? ซึ่งวิธีสังเกตอีกประการหนึ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ก็คือ หากเจ้าตัวน้อยของคุณมักมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน และมักมีอาการอย่างนี้ซ้ำๆ เป็นประจำ ก็อาจสันนิษฐานได้ว่านั่นคือการร้องแบบโคลิก อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่เด็กร้องอาจจะไม่ใช่ร้องแบบโคลิกทั้งหมด ดังนั้น ควรตรวจสอบหาสาเหตุในเบื้องต้นให้ชัดเจนก่อนจะสรุปสาเหตุจะดีกว่า หรือหากกังวลจริงๆ ก็ควรพาลูกไปพบกุมารแพทย์จะดีกว่าเพื่อความมั่นใจ

ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน
ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info




...............................

14 มีนาคม 2555

นวดผ่อนคลาย แก้ปวดเมื่อยเหมือนกินยา

สาระจาก msn ครับ


นวดผ่อนคลาย แก้ปวดเมื่อยเหมือนกินยา

ผู้ ที่มักจะมีอาการปวดเมื่อยเพราะกล้ามเนื้ออักเสบ อาจไม่ต้องพึ่งยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดเพียงหนทางเดียว เพราะนายแพทย์มาร์ค ทาโนโพลสกี้ จากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ในแคนาดา และทีมวิจัยพบว่า การนวดผ่อนคลายอย่างละมุนละไม ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อได้

การวิจัยจะดู ตัวอย่างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อของอาสาสมัครที่ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยาน จนปวดเมื่อย จากนั้นจึงไปนวดผ่อนคลายเพียง 10 นาที และหลังเสร็จจากการนวดผ่านไปนาน 2 ชั่วโมงครึ่ง ทีมวิจัยก็ได้พบว่า ความเมื่อยล้าของกลุ่มตัวอย่างนั้นหายไป

ทีมวิจัยเชื่อว่า การนวดผ่อนคลาย ที่มีลักษณะการกดคลึงอย่างถูกต้อง และลงน้ำหนักเหมาะสม ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของ 'ไมโทคอนเดรีย' หรือ แหล่งพลังงานเซลล์ ขึ้นมาใหม่ แต่ที่สำคัญคือ การนวดผ่อนคลายที่ดีสามารถส่งสัญญาณไปยังระบบภูมิคุ้มกันให้จัดการความเจ็บ ปวดในระดับโมเลกุล
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังเชื่อด้วยว่า การนวดในลักษณะที่ว่านี้ อาจมีประสิทธิภาพลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ  เหมือนกลไกลการออกฤทธิ์ของยาแก้อักเสบ จึงอาจเป็นผลดีสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหากล้ามเนื้อหรือกระดูกอักเสบ เรื้อรัง ได้มีทางเลือกการรักษาเสริมเข้ามาอีกทางภายใต้การควบคุมของแพทย์

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





...............................

13 มีนาคม 2555

คุมถูกวิธี การันตีไม่ท้อง

สาระจาก msn ครับ

คุมถูกวิธี การันตีไม่ท้อง

ที่ จริงแล้วการคุมกำเนิดมีหลากหลายวิธี ไม่ใช่แค่การใช้ถุงยางอนามัย ทานยาคุมกำเนิด หรือทำหมันเท่านั้น อีกทั้งการเลือกวิธีคุมกำเนิด ก็ไม่ควรพิจารณาเพียงแค่ความสะดวก เพราะบางวิธีต้องดูปัจจัยทางด้านสุขภาพของผู้ใช้ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่รู้ถึงความสำคัญในข้อนี้มาก่อน

บรรดาผู้เชี่ยว ชาญด้านการคุมกำเนิดทั้งจากออสเตรเลีย เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ และไทย จึงเผยวิธีการคุมกำเนิดแบบต่างๆ ไว้ในงานแถลงข่าว ฮอร์โมน..การคุมกำเนิด..หลากหลายทางเลือกที่เข้าใจ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้หญิง ภายในงานประชุมวิชาการระดับภูมิภาค MSD ASIA PACIFIC CONTRACEPTIVE SUMMIT 2012
โดยวิธีการคุมกำเนิดทั่วๆ ไป มีทั้งการขวางกั้น, ห่วงคุมกำเนิด, การคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมน, และการทำหมัน

สำหรับวิธีขวางกั้น เป็นวิธีการทางกายภาพ ป้องกันเชื้ออสุจิของผู้ชายไม่ให้เข้าไปในมดลูกและไปทำปฏิกิริยาถึงรังไข่ ของผู้หญิง นั่นก็คือ 'ถุงยางอนามัย' ที่มีทั้งของผู้ชายและผู้หญิง แถมยังช่วยป้องกันการติดเชื้อเอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ 'ฟองน้ำ' เป็นอุปกรณ์รูปร่างคล้ายโดนัททำด้วยโฟมนุ่มเคลือบด้วยสารฆ่าอสุจิ ใช้สอดเข้าไปในช่องคลอดของผู้หญิง
และ 'แผ่นครอบปากมดลูก, หมวกครอบปากมดลูก, และสิ่งปกป้องปากมดลูก' อุปกรณ์ขนาดเล็กรูปทรงครึ่งวงกลม สอดใส่ภายในช่องคลอดและครอบปากมดลูก ต้องสอดใส่อุปกรณ์ชนิดนี้โดยแพทย์ ใช้กับสารฆ่าอสุจิเช่นกัน

ส่วนวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine Device) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ไอยูดี แบบไม่ใช้ฮอร์โมน จะฝังในมดลูกโดยแพทย์ อาจเรียกว่า 'IUD ทองแดง' ซึ่งจะปล่อยทองแดงปริมาณเล็กน้อยเข้าไปในมดลูก ทองแดงนี้ป้องกันอสุจิไม่ให้ไปถึงรังไข่และผสมกับไข่ และเพื่อหยุดยั้งไข่ไม่ให้ฝังตัวที่เยื่อบุของมดลูก

ขณะที่วิธีคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมน มีทั้งการใช้ฮอร์โมนเดียว และฮอร์โมนรวม ส่วนฮอร์โมนที่ใช้ในวิธีนี้ คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน (คล้ายกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน) ช่วยป้องกันการปฏิสนธิ ทั้งในรูปแบบของวงแหวนช่องคลอด, ยาฝัง, ยาเม็ดคุมกำเนิด, ยาฉีด, และแผ่นแปะให้ยาซึมผ่านผิวหนัง วิธีนี้ใช้ฮอร์โมนป้องกันไม่ให้รังไข่ปล่อยไข่ออกมา และทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เยื่อบุมดลูกและเมือกที่ปากมดลูก เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิผสมกับไข่

สุดท้าย วิธีทำหมัน เป็นขั้นตอนปฏิบัติของการผ่าตัดที่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ สำหรับผู้หญิง จะเกี่ยวข้องกับการปิดท่อรังไข่อย่างถาวร เพื่อไม่ให้อสุจิเข้าไปถึงไข่ได้ และเรียกว่าการผูกท่อ ส่วนผู้ชาย  ท่อที่พาเชื้ออสุจิจากอัณฑะไปยังองคชาติจะถูกตัดและผูกในการผ่าตัด เรียกว่า การตัดหลอดนำอสุจิ
อย่างไรก็ตาม ผศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อทางนรีเวชวิทยาและโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์สตรี ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า การคุมกำเนิดแต่ละวิธีข้างต้น มีประสิทธิภาพต่างกัน คุมกำเนิดได้ระยะสั้น-ระยะยาว โดยก่อนตัดสินใจเลือกใช้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด ส่วนจะมีปัจจัยใดบ้างที่แพทย์ใช้นำมาเป็นหลักเลือกวิธีคุมกำเนิด ชมได้ทางคลิปประกอบ

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





...............................

10 มีนาคม 2555

ร้อนนี้หันมาดื่มน้ำเปล่าขณะออกกำลังกายกันดีกว่า

สาระจาก msn ครับ


 การจิบน้ำเล็กน้อยขณะพักจะช่วยให้มีแรงเล่นต่อไปได้อีก ซึ่งน้ำที่ดีที่สุดขณะออกกำลังกายคือ œน้ำเปล่า ที่ ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เร็วที่สุด โดยน้ำจะช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย ปรับระดับความดันโลหิต ช่วยลำเลียงอาหาร และออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ขณะเล่นกีฬาได้เป็นอย่างดี

ประมาณ70%ใน ร่างกายประกอบด้วยน้ำ ดังนั้น ถ้าคุณขาดน้ำเพียง 3 วันก็อาจถึงตายได้ เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญรองจากอากาศ โดยร่างกายต้องการน้ำวันละประมาณ 2.5 ลิตร ในขณะที่เราสูญเสียน้ำวันละ 2.5 ลิตร จาก
1500 cc เป็น ปัสสาวะ
500 cc เป็น เหงื่อ
300 cc เป็น ละอองน้ำในการหายใจออก
200 cc เป็น อุจจาระ

หากร่าง กายขาดน้ำรื้อรัง(ดื่มน้ำน้อย) ทุกระบบการทำงานของร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ สารพิษในร่างกายเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อไม่มีแรง ผิวหนังจะแห้ง ระบบย่อยอาหารพึ่งน้ำในทุกระดับ การเผาผลาญอาหารต้องมีน้ำเป็นตัวกลาง น้ำพาสารต่างๆไปให้เซลล์ สุขถาพที่ดี และการหยุดยั้งความชราขึ้นอยู่กับน้ำ ซึ่งคุณควรให้น้ำดื่มที่ดีที่สุดกับร่างกายท่านอย่างเพียงพอ

พญ.สิ รนิสถ์ ประพันธ์ศิลป์ แพทย์สาขาอายุรกรรมทั่วไป แผนกประกันสังคม รพ.กล้วยน้ำไท 1 แนะนำว่า œน้ำดื่มบริสุทธิ์จะเคลื่อนตัวสู่กระเพาะอาหาร และดูดซึมในลำไส้ได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มทั่วไปที่มักจะมี ปริมาณน้ำตาลสูงกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ เครื่องดื่มเหล่านี้จะดูดซึมได้ช้า ทำให้รู้สึกจุก เสียด ท้องอืด และทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง ยิ่งถ้าเป็นน้ำอัดลม ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะทำให้กระเพาะอาหารขยายตัวเบียดกล้ามเนื้อกระบังลม ทำให้ปอดขยายได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้หายใจไม่อิ่ม และหมดแรงเร็วขึ้น นอกจากนี้กระเพาะอาหารที่ขยายใหญ่ขึ้นทำให้รู้สึกจุกแน่นขณะออกกำลังกาย

ดื่มอย่างไรให้ถูกวิธี ?
การ ดื่มน้ำในขณะออกกำลังกายและรู้สึกเหนื่อยจัด ไม่ควรดื่มน้ำมากกว่าครั้งละ 2 แก้ว เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกิน (Water intoxication) ทำให้รู้สึกเวียนศีรษะ และปวดร้าวในสมอง
ทั้งนี้ในคุณควรดื่มน้ำเปล่า ไม่เกิน 1 แก้ว ก่อนออกกำลังกายประมาณ 10 นาที และอาจจิบน้ำเล็กน้อยทุกๆ 10-15 นาที ถ้ารู้สึกกระหายน้ำขณะออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ควรเกิน 1 แก้ว (ภายใน 1 ชั่วโมง) และที่สำคัญคือการดื่มน้ำให้ได้ 2 แก้ว หลังจากที่ออกกำลังกายเรียบร้อยแล้ว 30 นาที

สูญเสียเหงื่อ = สูญเสียเกลือแร่?
การ เสียเหงื่อจะเป็นการเสียน้ำมากกว่าเสียเกลือ เนื่องจากความเข้มข้นของเกลือในเลือดอยู่ที่ประมาณ 0.9 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่มีเหงื่ออยู่ที่ประมาณ 0.12-0.4 เปอร์เซ็นต์ และไม่พบว่ามีการสูญเสียโพแทสเซียม (Potassium) จึงไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำเกลือแร่
น้ำดื่มผสมเกลือแร่ทั่วไป ที่ขายในท้องตลาดมักมีปริมาณกลูโคสสูงกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะดูดซึมได้ช้า ทำให้ร่างกายได้รับน้ำช้ากว่าการดื่มน้ำเปล่า ถ้าจิบขณะออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกจุกได้ง่าย
อากาศร้อนอย่างนี้ หันมาดูแลสุขภาพให้ดีด้วยการดื่มน้ำเปล่าที่ช่วยให้สดชื่นขึ้นขณะออกกำลัง กาย และยังไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก ช่วยให้หุ่นสวยเพรียว ฟิต แอนด์ เฟิร์มกันเถอะค่ะ


ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน
ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info





...............................

25 กุมภาพันธ์ 2555

เคปเลอร์ค้นพบดาวเคราะห์ขนาดเท่าโลกครั้งแรก

           กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ของนาซา ได้บรรลุเป้าหมายสำคัญของภารกิจด้วยการค้นพบดาวเคราะห์ขนาดเท่าโลกโคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์เป็นครั้งแรก 
          ดาวเคราะห์ที่พบ มีชื่อว่า เคปเลอร์-20 อี (Kepler-20e) และ เคปเลอร์-20 เอฟ (Kepler-20f) แม้ดาวเคราะห์ทั้งสองดวงนี้อยู่ใกล้ดาวฤกษ์แม่มากเกินกว่าที่จะทำให้มีน้ำในสถานะของเหลวอยู่บนพื้นผิวได้ แต่ก็ถือว่าเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นที่โคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยพบมา 
          การค้นพบครั้งนี้เป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของความพยายามค้นหาดาวเคราะห์คล้ายโลกในระบบสุริยะอื่น ดาวเคราะห์ที่พบในครั้งนี้คาดว่าเป็นดาวเคราะห์หิน เคปเลอร์-20 อี เล็กกว่าดาวศุกร์เล็กน้อย มีรัศมีประมาณ 0.87 เท่าของโลก ส่วนเคปเลอร์-20 เอฟ ใหญ่กว่าโลกเล็กน้อย มีรัศมีประมาณ 1.03 เท่าของโลก เป็นบริวารของดาว เคปเลอร์-20 (Kepler-20) ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1,000 ปีแสงในทิศทางของกลุ่มดาวพิณ
          ดาวเคปเลอร์-20 อี โคจรรอบดาวฤกษ์แม่ครบรอบทุก 6.1 วัน ส่วนเคปเลอร์-20 เอฟ โคจรรอบดาวฤกษ์แม่ครบรอบทุก 19.6 วัน คาบที่สั้นมากเช่นนี้แสดงว่าดาวฤกษ์จะต้องมีวงโคจรเล็กมาก ซึ่งทำให้ดาวร้อนมาก ดาวเคปเลอร์-20 เอฟ มีอุณหภูมิ 427 องศาเซลเซียส ซึ่งใกล้เคียงกับดาวพุธ ส่วนเคปเลอร์-20 อี อุณหภูมิทะลุถึง 760 องศาเซลเซียส ที่แม้แต่แก้วก็ยังละลาย นั่นหมายความว่าตัดประเด็นสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์สองดวงนี้ไปได้
          เป้าหมายหลักของภารกิจเคปเลอร์คือการค้นหาดาวเคราะห์ขนาดเท่าโลก ดังนั้นการค้นพบในครั้งนี้จึงเป็นการประกาศความสำเร็จ และเป็นการแสดงให้เห็นว่ากล้องเคปเลอร์มีศักยภาพสูงเพียงใด 
          นอกจากสองดวงนี้แล้ว ยังมีดาวเคราะห์อีกสามดวงที่อยู่ในครอบครัวดาวเคราะห์ของเคปเลอร์-20 อีกสามดวงที่เหลือมีขนาดใหญ่กว่ามาก แต่ยังเล็กกว่าดาวเนปจูน ดาวเคปเลอร์-20 บี อยู่ใกล้ดาวฤกษ์ที่สุด เคปเลอร์-20 ซี และ เคปเลอร์-20 ดี มีคาบการโคจร 3.7, 10.9 และ 77.6 วันตามลำดับ ทั้งห้าดวงนี้มีรัศมีวงโคจรเล็กกว่าของดาวพุธ ส่วนตัวดาวฤกษ์เป็นดาวชนิดสเปกตรัมจี เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ แต่เล็กกว่าและอุณหภูมิต่ำกว่าเล็กน้อย
          ความน่าสนใจอีกอย่างของระบบสุริยะแห่งนี้คือ การเรียงลำดับดาวเคราะห์ที่ดูค่อนข้างแปลกประหลาด ในระบบสุริยะของเรา ดาวเคราะห์หินขนาดเล็กจะอยู่วงใน ส่วนชั้นนอกจะเป็นที่อยู่ของดาวเคราะห์แก๊สขนาดใหญ่ แต่ระบบของเคปเลอร์-20 จะวางสลับกัน เป็นรูปแบบ ใหญ่-เล็ก-ใหญ่-เล็ก-ใหญ่ 
          นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักว่าระบบนี้มีวิวัฒนาการอย่างไร แต่คาดว่าตำแหน่งของแต่ละดวงที่ปรากฏอยู่นี้ไม่ใช่ตำแหน่งดั้งเดิม สันนิษฐานว่าเมื่อตอนเริ่มต้น ดาวเคราะห์กำเนิดขึ้นในตำแหน่งที่ไกลจากดาวฤกษ์มากกว่านี้ แต่ต่อมาได้ขยับเข้ามาใกล้ดาวฤกษ์ ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากอันตรกิริยากับวัตถุในจานกำเนิดดาวเคราะห์ที่มันเกิดขึ้นมา 

ที่มา:

18 กุมภาพันธ์ 2555

บรรดาศักดิ์ชั้นยศ

ระดับ 1 เทียบได้กับบรรดาศักดิ์ชั้น "นาย"
ระดับ 2 เทียบได้กับบรรดาศักดิ์ชั้น "พัน" หรือ "หมื่น"
ระดับ 3-4 เทียบได้กับบรรดาศักดิ์ชั้น "ขุน" (เป็นข้าราชการสัญญาบัตร)
ระดับ 5-6 เทียบได้กับบรรดาศักดิ์ชั้น "หลวง"
ระดับ 7-8 เทียบได้กับบรรดาศักดิ์ชั้น "พระ"
ระดับ 9-10 เทียบได้กับบรรดาศักดิ์ชั้น "พระยา"
ระดับ 11 เทียบได้กับบรรดาศักดิ์ชั้น "เจ้าพระยา"
ส่วนบรรดาศักดิ์ "สมเด็จเจ้าพระยา" นั้น ต้องยกเป็นตำแหน่งพิเศษออกไป เพราะพระราชทานพิเศษเฉพาะตัวจำนวนไม่มาก จึงเป็นกรณีพิเศษ




...............................

14 กุมภาพันธ์ 2555

ประวัติวันวาเลนไทน์

     เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”
.
   วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

   วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรัก
ที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่งบัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...



...............................

28 มกราคม 2555

วิธีการป้องกันตัวจากพลังงานลบที่มาดูดจากเราโดยไม่รู้ตัว



วิธีการป้องกันตัวจากพลังงานลบที่มาดูดจากเราโดยไม่รู้ตัว

เช่น คนที่กำลังทุกข์, ไม่สบายใจ, ป่วยไข้, คนโศกโศร้า,คนเห็นเเก่ตัว,คนอารมณ์ไม่ดี,คนที่คิดร้ายตลอดเวลา คนเล่นคุณไสย์ใส่คุณ ฯลฯ

วิธีเเรกเเบบง่ายที่สุด ไข่

จินตนาการให้ตัวคุณเอง เข้าไปอยู่ในไข่ใบใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า เเล้วคุณเปิดประตูเข้าไปในไข่ใบนี้ ไข่พลังงาน เดินเข้าไปข้างใน เเล้วก็ปิดประตูซะ ข้างในเป็นกำเเพงที่เเข็งเเกร่งเเละหนามากๆ เเละไม่มีอะไรที่จะทำลายไข่ใบนี้ได้ สิ่งที่จะเข้ามาได้มีเเต่ พลังงานบวก พลังงานความรัก พลังงานเเห่งความเมตตาเท่านั้น คนที่มองโลกในเเง่ลบจะอยู่ข้างๆไข่ของคุณ ไม่สามารถเข้ามาได้เด็ดขาด มีประโยชน์มากเวลาที่คุณเดินทาง เพราะคุณไม่มีทางรู้ได้ว่า คนที่อยู่ใกล้ๆคุณกำลังคิดอะไรเเละมีพลังงานเเบบไหน เพราะ ความคิด คือ พลังงาน ดังนั้น เรื่องราวที่เขาคิดย่อมมีผลกระทบกับเรานั้นเอง ไข่ใบนี้จะช่วยคุณเวลาที่คนคิดร้ายกับคุณ เช่น นินทาคุณ หรือ พูดไม่ดีเกี่ยวกับคุณ หรือ อาจจะอิจฉาคุณ เพราะ พลังงานไข่จะกันพลังงานลบเเละสะท้อนออกไปจากภายนอก เเล้วพลังงานพวกเขาจะไม่ทำให้คุณรู้สึกอะไร คุณจะใช้เมื่อไรก็ได้ เพียงเเค่คิดเเละจินตนาการขึ้นมาทันทีเมื่อคุณต้องการป้องกันตัวเองจากพลังงานลบทั้งหมด ถ้าคุณจินตนาการไม่เก่งให้พูดออกมาเลยว่า "ฉันล้อมรอบอยู่ในไข่ของฉัน" ได้ผลเเละมีประสิทธิภาพมากเช่นเดียวกัน

วิธีที่สอง ต้นไม้

สำหรับคนทั้งตั้งใจส่งพลังงานมาหาคุณโดยเฉพาะ เช่น คุณไสย์ เวทย์มนต์ สาปเเช่ง ตั้งใจทำร้ายคุณเเบบจริงๆจังๆ ให้คุณ จินตนาการถึงต้นไม้ต้นใหญ่ๆ เช่น ต้นโอ็ค ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไม้ใหญ่มากอยู่รอบๆตัวคุณทุกมุมซ้าย ขวา หน้า หลัง ให้คุณอยู่ตรงกลางที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ จินตนาการโซ่ทองผูกรอบๆต้นไม้ทั้งหมด จินตนาการลำเเสงสีขาวบริสุทธิ์พุ่งลงมาที่ตัวคุณอยู่ภายในต้นไม้ เเละรู้ว่า คุณได้รับการปกป้องจากพลังงานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือ ได้ผลเเละมีประสิทธิภาพมาก

วิธีที่สาม ไฟ

ให้จินตนาการถึงเปลวไฟ เมื่อคุณต้องการทำความสะอาดเเละป้องกันพลังออร่าของตัวคุณเอง หรือ ให้คุณกล่าวว่า "ขอให้เทพเเห่งไฟช่วยทำความสะอาดเเละรักษาร่างกายเเละพลังงานของลูกด้วย" เเล้วให้คุณจินตนาการว่า ไฟกำลังเผาพลังงานลบที่อยู่ในตัวคุณออกให้หมด เหมือนอย่างที่อยู่รายล้อมคุณ ให้ใช้เมื่อคุณกำลังรักษาผู้อื่นอยู่ เราคงไม่อยากให้พลังงานลบของพวกเขามาทำสร้างพลังงานลบให้กับเราเช่นเดียวกัน

วิธีที่สี่ ปิรามิด

ถ้ามีคนต้องการลบพลังงานของคุณ ให้จินตนาการให้คุณอยู่ใน โคน หรือ ปิรามิดกระจกที่เเข็งเเกร่งมากๆ กระจกจะสะท้อนพลังงานใดๆก็ตามที่เข้ามาหาคุณชนกับกระจกเเละสะท้อนออกไปขึ้นสู่ท้องฟ้า ขึ้นไปสู่สวรรค์ สถานที่ๆสามารถเปลี่ยนพลังงานดังกล่าวให้กลายเป็นพลังเเห่งความรักอีกครั้ง

ทั้งหมดนี้คุณสามารถจินตนาการได้เเละจะช่วยป้องกันคุณะจากไวรัสเเละเชื้อโรคต่างๆเช่นเดียวกัน เเละคลื่นความถี่นี้จะช่วยยกระดับคุณให้เข้าสู่ระบบใหม่ ดังนั้นมันมีประโยชน์มากกับทุกระดับเพื่อปกป้องพลังงานของคุณ

สอนโดย Anne Jones
Protecting your Energy

07 มกราคม 2555

ภาวะเลือดกำเดาไหล

พอเช็คเมล์เสร็จ ก็ได้อ่านข้อความดีๆ ผ่านเว็บ MSN เลยเอามาฝากครับ

ภาวะเลือดกำเดาไหล

จำได้ว่าเมื่อสมัยยังเป็นเด็กนั้น หากวันไหนไปซุกซนในวันที่แสงแดดแผดเผาแรงกล้าล่ะก็ เป็นได้เลือดออกจมูกทุกครั้งไป

ภาวะเลือดกำเดาไหล

และเมื่อเห็นอย่างนี้ทีไรก็อดไม่ได้ที่จะเกิดอาการกลัว พาลจะอาเจียนวิงเวียนเอาได้ง่ายๆ ด้วยความที่เรายังเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็มักจะบอกว่าไม่ต้องตกใจไป ให้เงยหน้าขึ้นสูงๆ สักพักเลือดที่กำลังไหลพลั่กๆ เหล่านั้นก็หยุดไหลไปซะดื้อๆ

เลือดกำเดาคืออะไร?

ตาม ที่เราเข้าใจและรับรู้มานั้นนั้น เลือดกำเดาคือเลือดที่ไหลออกมาจากโพรงจมูก หรือบริเวณหลังจมูก แต่รายละเอียดที่มากกว่านั้นแต่เราอาจทราบไม่หมดก็คือ เลือดที่ไหลออกมา 95 เปอร์เซ็นต์ ตำแหน่งที่เลือดไหลออกมาจะอยู่ที่เยื่อบุจมูกส่วนหน้าของผนังกั้นกลางจมูก ทั้งสองข้างที่อยู่ใกล้ๆ ปลายจมูก โดยส่วนมากเลือดกำเดาเกิดจากการแตกของเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ในเยื่อบุจมูก ซึ่งพบมากในเด็กเล็กและไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ใหญ่แล้ว เลือดกำเดาที่เกิดจากสาเหตุบางประการอย่างเส้นเลือดใหญ่แตก เป็นเนื้องอก หรือมะเร็งในจมูก เหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายทั้งสิ้น

ความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับเลือดกำเดา

สำหรับ อาการของเลือดกำเดาไหลนั้น เรามักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นได้เฉพาะกับเด็กๆ หรือผู้ที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่นเท่านั้น เนื่องจากเด็กๆ จะมีผนังเยื่อบุจมูกที่บางกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นเมื่ออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแดดที่ร้อนเปรี้ยงนานๆ อุณหภูมิที่ร่างกายก็จะสูงขึ้น ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยเล็กๆ ที่อยู่ในโพรงจมูกเกิดการฉีกขาดและเกิดอาการเลือดกำเดาไหล และอีกสาเหตุคือเด็กๆ มักจะซุกซน ถ้าไม่วิ่งชนนู่นนี่ก็หกล้ม หรือบางทีก็ชอบงัดแงะแกะเกาในจมูกของตัวเอง ซึ่งก็ทำให้เลือดกำเดาไหลได้เช่นกัน แต่นั่นคือความเข้าใจที่ถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะภาวะเลือดกำเดาไหลนั้นเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ใหญ่หรือคนชรา

สาเหตุหลักของที่มาแห่งการเกิดเลือดกำเดา

นอกจากอาการที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ ดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้นแล้ว เลือดกำเดายังสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่างๆ ดังต่อไป

- อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยตรงบริเวณศีรษะและใบหน้าจนทำให้เกิดการกระทบ กระเทือนต่อเยื่อโพรงจมูก รวมทั้งการผ่าตัดบริเวณโพรงจมูกและไซนัส เหล่านี้ล้วนส่งผลให้เส้นเลือดฉีกขาดจนทำให้เลือดกำเดาไหลได้ทั้งสิ้น

- ผู้ป่วยที่มีอาการหวัดเรื้อรัง หรือเป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูกที่อาจไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม

- เกิดอาการอักเสบและติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นโพรงจมูกอักเสบ หรือไซนัสอักเสบ ซึ่งหากเป็นประการหลังผู้ป่วยจะมีอาการคัดจมูกจนหายใจไม่สะดวก มีเสมหะไหลลงคอ จนถึงมีอาการไข้ปวดศีรษะ และปวดบริเวณที่ไซนัสอักเสบ

- มีอาการของโรคริดสีดวงจมูก ซึ่งจะมีเลือดกำเดาไหลแบบเป็นๆ หายๆ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังเป็นตัวกระตุ้นให้เลือดกำเดาไหลมาก หรือน้อยอีกด้วย

- เป็นมะเร็งที่โพรงจมูก มะเร็งที่ไซนัส และมะเร็งที่บริเวณกระโหลกศีรษะ

- ผู้ป่วยที่มักจะรับประทานยาบางประเภทอยู่เป็นประจำ เช่น ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน หรือยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งยาเหล่านี้มักจะทำให้เลือดไหลง่ายกว่าปกติ

- ผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินซี และวิตามินเค เป็นต้น

- ผู้ที่อยู่ในที่ที่มีอากาศที่เย็น แห้งและมีความชื้นต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เยื่อจมูกแห้งและเปราะ

- ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง จะพบได้บ่อยๆ ในวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ รวมทั้งครอบครัวที่มีกรรมพันธุ์เป็นโรคความดันโลหิตสูงซึ่งจะมีโอกาสเป็นโรค นี้สูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งในกรณีนี้อาจเรียกได้ว่าภาวะกำเดาไหลนั้นเป็นสัญญาณบอกเหตุถึงโรคที่ อยู่เบื้องหลังนั่นเอง

- ผู้ที่มีเลือดออกง่าย หรือผู้ที่เป็นโรคเลือดไหลไม่ยอมหยุด ซึ่งแสดงถึงความผิดปกติของเกล็ดเลือด หรือกลไกการแข็งตัวของเลือด จึงทำให้เลือดกำเดาไหลได้ง่าย

ภาวะ เลือดกำเดาไหลนั้น ถึงแม้ว่าบางชนิดอาจจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ก็อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นภาวะซีดหรือความดันโลหิตต่ำ และหากพบว่าเลือดไหลออกมาไม่หยุดหรือมีมากกว่าปกติล่ะก็ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดทันที เพราะไม่แน่ว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กๆ อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญโดยไม่รู้ตัว

ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info

ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info

ขอบคุณที่ติดตาม ปัญทึกของครูบ้านนอก นะครับ

02 พฤศจิกายน 2554

เบอร์โทรติดต่อ ทบ. ช่วยเหลือน้ำท่วม

พอดีเห็นจาก facebook ของพี่สาวของผม
เลยนำมาโพสต์ต่อครับ ปรินท์เผื่อเวลาฉุกเฉินไว้นะครับ



เป็นห่วงพี่น้องทุกคนนะครับ

11 สิงหาคม 2554

วิธีการแก้ไขอาการ Error Code Canon Mp258 และ Canon MP287

ชอบเนื้อหาของเพลงนี้จังเลยครับ ฟังแล้วรู้สึกขนลุกทุกที
เอามาฝากทุกๆคนนะครับ ^_^

......................................................................................................................
     ในช่วงระยะที่ผ่านมา เราอาจสังเกตเห็นได้ว่า ปริ๊นท์เตอร์ตระกูล Canon ได้รับความนิยมจากคุณครูมากๆ อาจเป็นเพราะราคาถูก มีจำนวนปริมาณมาก ไม่ได้ต้องรอจอง รอคิวนาน

     ช่วงก่อน จะนิยม mp เครื่องสีขาวๆ ช่วงหลังจะนิยม Pixma MP287 (เครื่องสีดำ)

     บางคนนำไปใช้ที่โรงเรียน ใช้ที่บ้านแล้วอาจเกิดปัญหาไม่สามารถสังพิมพ์งานได้ และมี code ตัวเลขขึ้นที่เลขจำนวนสำเนาสั่งพิมพ์ที่ตัวเครื่อง (ปกติ มันต้องเป็นเลข 1)

     ครูแชมป์เอกก็กลัวว่า พี่น้องชาวครูของเราจะพบปัยหากัน เลยค้นหาจาก guru.google.co.th
  เอามาไว้ (เผื่อตัวเองเจอด้วย จะได้แก้ไข) ซึ่งมี error code ดังนี้


ERROR CODE CANON MP258
1. P02(Carriageerror) : ชุดติดตั้งหัวพิมพ์ หรือ กล่องใส่ตลับหมึกเกิดการติดขัดหรือเกิดความผิดพลาด ซึ่งเกิดจากการแปลงสัญญาณ(จานแปรรหัสหรือแปลงสัญญาณ บนจานจะมีหน้าสัมผัสเป็นจุด ๆเมื่อจุดสัมผัสเลื่อนมาตรงแกนสัมผัสก็จะสร้างสัญญาณบอกไปยังเครื่องพิมพิ์)แต่ถ้าไม่สัมผัสก็จะทำให้ชุดติดตั้งหัวพิมพ์มีปัญหาหรือไม่ทำงาน
แก้ไขโดย
1. ตรวจดูว่าไม่มีวัสดุแปลกปลอมติดอยู่บริเวณที่หัวพิมพ์ทำงาน
2. ทำความสะอาดสายนำเช็คตำแหน่งหัวพิมพ์ (timing slit film คือสายสีขาวที่อยู่บริเวณด้านหลังชุดกล่องใส่ตลับหมึกเส้นบาง ๆอาจจะขาดหรือเลอะหมึก
3. อุปกรณ์ต่างๆ ที่อาจจะต้องเปลี่ยนมีดังนี้
- ชุดติตตั้งหัวพิมพ์หรือ กล่องใส่ตลับหมึก (carriageunit)
- สายเช็คตำแหน่งหัวพิมพ์ (timing slit film)สายสีขาวที่อยู่บริเวณด้านหลังชุดกล่องใส่ตลับหมึกเส้นบาง ๆ
- แผงวงจร (logic board) seal2thai.blogspot.com

2. P03 (Line feederror) : ความผิดพลาดในการส่งสัญญาณการป้อนบรรทัด linefeed (LF) เป็นสัญญาณบอกให้เครื่องพิมพ์เลื่อนลงไปอีกบรรทัดหนึ่ง หรือขึ้นบรรทัดใหม่ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดของบรรทัด
แก้ไขโดย : อุปกรณ์ต่างๆ ที่อาจจะต้องเปลี่ยนมีดังนี้
- สายเช็คตำแหน่งหัวพิมพ์ (timing slit disk film) อยู่ด้านข้างของตัวเครื่อง
- แผงวงจร logicboard

3. P05 (ASF cam sensor error) : sensor การป้อนกระดาษผิดพลาด
ซึ่งความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการป้อนกระดาษจากถาดกระดาษข้างท้าย คือ
กระดาษไม่ได้รับการป้อนเมื่อมีการสั่งพิมพ์งาน
แก้ไขโดย : เปลี่ยนอุปกรณ์การใช้งาน
ดังนี้
-ASF/PE sensorunit
- Drive unit
- แผงวงจร logic board

4. P06 (Internaltemperature error) : ความร้อนภายในเครื่องพิมพ์ผิดปกติ
แก้ไขโดย
: เปลี่ยนแผงวงจรใหม่

5. P07(Inkabsorber full) : ตัวซับน้ำหมึก (ฟองน้ำ) เต็ม
แก้ไขโดย : เปลี่ยนฟองน้ำใหม่ ทำการ Clear counter

6. P08(Print headtemperaturerise error) : หัวพิมพ์ร้อนมีอุณหภูมิสูงเกินกว่าค่าที่กำหนด
แก้ไขโดย : เปลี่ยนตลับหัวพิมพ์ใหม่และ/หรือเปลี่ยน logic board ใหม่

7. P09 (EEPROMerror) : หน่วยความจำในเครื่องเกิดข้อผิดพลาด EEPROMย่อมาจาก electronically erasable programmable read only memory ( แปลว่าหน่วยความจำอ่านอย่างเดียวชนิดโปรแกรมและลบได้ด้วยกระแสไฟฟ้า) เป็นชิป(chip) ชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติตามชื่อ ใช้เป็นหน่วยความจำ หากต้องการแก้ไขจะต้องใช้สัญญาณไฟฟ้าลบ แล้วบันทึกของใหม่ลงไปหน่วยความจำชนิดนี้จะเก็บข้อมูลไว้ได้แม้ว่าจะไม่ใช้ไฟฟ้า
แก้ไขโดย
: เปลี่ยน logicboard ใหม่

8. P10(VHmonitor error) : ค่าศักย์ไฟฟ้าของหัวพิมพ์ผิดปกติ ชุด Step motor ทำงานผิดพลาดหรือมอเตอร์เสีย
แก้ไขโดย : เปลี่ยนตลับพิมพ์ใหม่ หรือเปลี่ยนแผงวงจรใหม่

9. P15 (USB VBUSover current) : กระแสไฟมากเกินไปลองถอดสาย USBออกแล้วเสียบใหม่ถ้าไม่หายให้ลองเปลี่ยนสาย USB ใหม่ถ้ายังขึ้นเหมือนเดิมแสดงว่าเมนบอร์ดเสีย
แก้ไขโดย
: เปลี่ยน logic board ใหม่

10. P20(Other hardware error) : ความผิดพลาดของ hardware อื่นๆ
แก้ไขโดย: เปลี่ยน logicboard ใหม่

11. P22(Scannererror) : สแกนเนอร์ทำงานผิดพลาดแก้ไขโดย : เปลี่ยน scannerunit ใหม่หรือเปลี่ยน logicboard ใหม่

12.E04 : ตลับหมึกหมด แก้ไขโดยกดปุ่ม Stop/Reset ค้างจนหน้าจอเป็นเลข 1

13.E16 : เครื่องไม่ทราบปริมาณน้ำหมึกเครื่องไม่ทำงาน
แก้ไขโดยกดปุ่ม Stop/Reset ค้างจนหน้าจอเป็นเลข 1

วิธีแก้ E3 ให้เรายืดสปริง ตรงที่ยึดสายพานข้างหลังตลับหมึก ครับงัดสปริงออกมายืดแล้วทำความสะอาด ถาดรองหมึกด้วย แค่นี้ก็หายแล้วครับ

วิธีResetหมึก Canon MP287
ปิดเครื่อง กดปุ่ม stop/reset ค้างไว้ แล้วกดปุ่ม power (ค้างไว้ทั้ง
2 ปุ่ม) ปล่อยปุ่ม Stop/Reset แต่ปุ่ม Power ยังค้างอยู่ แล้วกดปุ่ม
Stop/Reset
2 ครั้ง ปล่อยปุ่ม power รอจนขึ้นเลข 0 แล้วกดปุ่ม Stop/Reset 4
ครั้ง ไม่ต้องกดเร็วนะครับ จากนั้นปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ บางทีกดปิด
หลายรอบหน่อย





03 เมษายน 2554

ข้อคิดจาก ลุงแจวเรือจ้าง...กับหนุ่มนักเรียนนอก...

เด็กหนุ่มคนหนึ่ง...เป็นชาวสงขลา...

เรียนเก่งมาก...

ได้ทุนไปเรียนอเมริกา...ตั้งแต่เด็ก...จนจบด็อกเตอร์...

จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน... .

บ้านของเด็กหนุ่ม...

อยู่อีกฟากหนึ่ง...ของทะเลสาบสงขลา...

ต้องนั่งเรือแจว...ข้ามไป...ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง..

เรือที่ติดเครื่องยนต์...ไม่มีเหรอ...ลุง...?

ไม่มีหรอกหลาน...ที่นี่มันบ้านนอก...

มันห่างไกลความเจริญ....มีแต่เรือแจว...
โอ...ล้าสมัยมากเลยนะลุง...โบราณมาก...

ที่อเมริกา.......เขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง...ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก...
ไปส่งผมฝั่งโน้น...เอาเท่าไร...ลุง...?

80 บาท...

OK...ไปเลยลุง...
ในขณะที่ลุงแจวเรือ....

หนุ่มนักเรียนนอก...ก็เล่าเรื่องความทันสมัย....

ความก้าวหน้า....ความศิวิไลช์...ของอเมริกาให้ลุงฟัง...
เมืองไทย...เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้ว...ล้าสมัยมาก...

ไม่รู้คนไทย...อยู่กันได้ยังไง...?

ทำไมไม่พัฒนา...ทำไมไม่ทำตามเขา...เลียนแบบเขาให้ทัน...?

ลุง...ลุงใช้คอมพิวเตอร์...ใช้อินเตอร์เน็ต...เป็นไหม...?

ลุงไม่รู้หรอก...ใช้ไม่เป็น...

โอโฮ้...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ.....ชีวิตลุงหายไปแล้ว...25 %....
แล้วลุงรู้ไหมว่า...เศรษฐกิจของโลก...ตอนนี้เป็นยังไง....?

ลุงไม่รู้หรอก...

ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ...ชีวิตของลุงหายไป...50 %
ลุง...ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหม...ลุง...?

ลุง...ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหม...ลุง...?

ลุงไม่รู้หรอก...หลานเอ๊ย...

ชีวิตของลุง...ลุงรู้อยู่อย่างเดียว...

ว่าจะทำยังไง...ถึงจะแจวเรือให้ถึงฝั่งโน้น...

ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้...ชีวิตของลุง....หายไปแล้ว...75 %
พอดีช่วงนั้น...

เกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง...คลื่นลูกใหญ่มาก...ท้องฟ้ามืดครึ้ม....

นี่พ่อหนุ่ม...เรียนหนังสือมาเยอะ...จบดอกเตอร์จากต่างประเทศ...

ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม...?

ได้...จะถามอะไรหรือลุง...?
เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม...?

ไม่เป็นจ๊ะ...ลุง....

ชีวิตของเอ็ง...กำลังจะหายไป 100 % ....แล้วพ่อหนุ่ม..

02 เมษายน 2554

น้ำผึ้ง...ช่วยสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ‏

ตารางประโยชน์ของน้าผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ
โรค ปริมาณและวิธีใช้
1. บำรุงสุขภาพ น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน
2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้
3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน
4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน
5.ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร
7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน
8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน
9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1แก้ว
10. เด็กหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม
11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร
12. ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่ เย็นแล้วล้างแผลให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผลไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง
14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ3 ครั้งเป็นประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็นประจำ
18. เสียน้ำหรือเสียเลือด(10-20%) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1ถ้วย

01 เมษายน 2554

อยากให้อ่าน ดีมาก (ความรักของแม่)

อยากให้อ่าน ดีมาก (เรื่องจริงของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ) :
> เพื่อน ๆ ช่วยอ่านข้อความนี้ดีมาก ชีวิตคน
> มีคนเล่าให้ฟังว่า... สมัยก่อน...คุณพงษ์เทพ
> กระโดนชำนาญ...ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต..
> แกอยู่ในป่า...กับเพื่อน 5 - 6
> คน...ทุกวันก็จะเปลี่ยนเวรกัน...ล่าสัตว์ป่า...มาทำอาหาร.
> วันหนึ่ง...เป็นเวรของคุณพงษ์เทพ
> แกก็คว้าปืนยาว...สะพายบ่า.เดินเข้าป่าไป...
> อาหารโปรดของคุณพงษ์เทพ.....คือแกงเนื้อลิง...
> พอเดิน เข้าป่าไปได้สักพัก.
> เห็นลิงตัวหนึ่ง...นั่งอยู่บนต้นไม้...หันหลังให้..
> แกก็รีบยกปืนประทับบ่า...ยิงเปรี้ยง...ไปที่ตัวลิง..
>
> เหตุการณ์แปลกประหลาดได้เกิดข ึ้น...
> ปกติ...ลิงพอถูกยิง..จะหล่นตุ๊บ...จาก ต้นไม้ทันที...
>
> แต่ลิงตัวนี้...นั่งจับกิ่งไม้เฉย...ไม่หล่นลงมา...
> จะว่ายิงไม่ถูก...ก็ไม่น่าเป็นไปได้...
> เพราะคุณพงษ์เทพ...แกยิงปืนแม่น...ระยะแค่นี้
> เป้าใหญ่ขนาดนี้...ไม่พลาดแน่นอน...
> ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น...ลิงตัวที่ถูกยิง...
> ร้องโหยหวน...เสียงดังมาก..... ฝูงลิงที่แยกย้ายกัน
> ออกหากินอยู่บริเวณใกล้ ๆ... วิ่งแห่กันเข้ามาหา
> ลิงตัวที่ถูกยิง... แล้วร้องโหยหวน...เหมือนกันหมด...
> แกตกใจ...ยืนตกตะลึง...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...
> สักครู่...ลิงตัวที่ถูกยิง. โยนวัตถุเล็กๆ...สีดำ ๆ..ชิ้นหนึ่ง...ให้กับลิงตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด... แล้วก็หล่นตุ๊บ...

> ลงมาจากต้นไม้...คุณพงษ์เทพ...รีบวิ่งไปดู...
> ลิงถูกยิงเข้าที่หลัง... ทะลุหน้าอก...เลือดแดงฉาน..เต็มตัว...
> คุณพงษ์เทพเห็นแล้ว...ต้องเบือนหน้าหนี...
> ลิงที่ตกลงมา...เป็นลิงแม่ลูกอ่อน...ขณะที่ถูกยิง...
> เธอกำลังให้นม ลูก...
>
> ลูกตัว น้อย...กำลังดูดนมอย่างมีความสุข...ทันทีที่ถูกยิง..
> ถ้าเป็นลิงตัวอื่น... จะหล่นตุ๊บ...ลงจากต้นไม้.....
>
> แม่ลิงตัวนี้...ยังหล่นไม่ได้...ยังตายไม่ได้..
> เพราะเธอยังมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ...คือ...
> รักษาชีวิตลูกน้อย...ให้พ้นอันตราย...
> เธอกัดฟัน...โหนกิ่งไม้ไว้.แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ...
> มองดูเลือดที่ไหลหยดเป็นทาง ด้วยความตกใจ...
> พยายามรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมี! เหลือทั้งหมด...
> ตะโกนสุดเสียง...ร้องเรียก.ฝูงลิงเข้ามาใกล้ๆ..
> แล้วก็ฝากฝัง...ให้เลี้ยงลูกน้อยแทนเธอ
>
> หลังจากโยนลูกให้จ่าฝูงแล้ว...มองดูลูก...ถูกพาไป จนลับสายตาแล้ว.. แน่ใจว่า...ลูกปลอดภัยแล้ว...
> จึงหลับตา...แล้วหล่นลงมา.....ตาย.. คุณพงษ์เทพ...ก้มมองหน้าลิง..แล้วร้องไห้...
> เพราะที่เบ้าตาลิง...มีหยดน้ำตาใส ๆ. กำลังไหลริน...
> คุณพงษ์เทพ..รีบเดินกลับที่พัก...เอาปืนไปเผาทิ้ง...
> ไม่ยอมออกล่าสัตว์อีกเลย.ตลอดชีวิต..
> และภาพความรักที่ยิ่งใหญ่..ของแม่ลิง...ที่มีต่อลูกน้อย ......
> เป็นแรงบันดาลใจ. ให้พงษ์เทพ...แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง...
> ชื่อว่า... ' ลิงทะโมน... '
> เพื่อยกย่อง...เชิดชู...คุณค่าของความรัก...ที่แม่...มีต่อลูก
>
> *****************
>
> แม่นะหรือ... คือผู้สร้าง ทุกสิ่ง อันยิ่งใหญ่
> คือผู้รัก ลูกตน กว่าใครใคร คือผู้คอย ห่วงใย ทุกเวลา
>
> คือคนร้อน เมื่อลูกรุ่ม
> กลุ้มเรื่องทุกข์
> คือคนสุข เมื่อลูกนั้น มีหรรษา
> คือคนปลอบ เมื่อลูกเหงา เศร้าอุรา
> คือคนคอย ให้เมตตา ลูกทุกคราว
>
> เป็นสายฝน คอยช่วยให้ ลูกสดชื่น
> เป็นผ้าผืนคอยห่มให้ เพื่อคลายหนาว
> เป็นกระโถน คอยรับทุกข์ ทุกเรื่องราว
> เป็นบันได ไต่ดาว ลูกก้าวไป
> เป็นคุณครู ผู้สอนสั่งทุกอย่างหนอ
> เป็นคุณหมอ คอยรักษา จะหาไหน
> เป็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ได้ดั่งใจ
> จะหาใครได้เท่าแม่เหมือนไม่มี
> สาธยาย อย่างไร คงไม่หมด
> พระคุณแม่ ยากแทนทด เหมือนปลดหนี้
> สิ่งล้ำค่าใดใด ในปฐพี
> จะเทียมเท่า คุณแม่นี้ ไม่มีเอย.
>
> ----- จบการส่งต่อข้อความ -----
>
> อย่าลืม ก่อนนอนคืนนี้ กอดแม่-พ่อสักครั้งหากท่านยังมีโอกาส.....

31 มีนาคม 2554

อาหารที่ไม่ควรทานร่วมกัน‏

อาหารที่ไม่ควรทานร่วมกัน‏
1. เหล้าขาวกับลูกพลับ กินด้วยกันไม่ได้จะทำให้เป็นพิษ



2. หัวไชเท้ากับเห็ดหูหนู ทั้งดำและขาว กินด้วยกันไม่ได้จะเป็นโรคผิวหนัง

3. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง กินด้วยกันไม่ได้จะทำให้หูหนวก

4. มันฝรั่งกับกล้วยทุกชนิด กินรวมกันไม่ได้จะทำให้หน้าเป็นฝ้า

5. กล้วยกับเผือก กินด้วยกันไม่ได้จะทำให้ท้องอืด

6. ถั่วลิสงกับฟักทอง กินรวมกันไม่ได้จะทำให้ทำร้ายร่างกายและลำไส้อักเสบ

7. มันเทศกับลูกพลับ กินรวมกันแล้วจะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร

8. มันฝรั่งกับลูกพลับ กินรวมกันแล้วจะทำให้เป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ

9. หัวไชเท้ากับผลไม้ทุกชนิด กินรวมกันแล้วจะทำให้เกิดคอพอก

10. น้ำเต้าหู้ นมสด ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำให้ท้องผูกและเส้นเลือดตับ

11. ผักป๋วยเล้ง ห้ามกินกับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง

12. กล้วย มะละกอ แตงโม ห้ามกินด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน

13. ส้มกับมะนาว ห้ามกินด้วยกันจะทำให้กระเพาะทะลุ

14. เหล้าขาวกับเบียร์ ห้ามกินด้วยกันจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก

15. ปลาทุกชนิดห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง

16. ขิงดอง ห้ามเข้าตู้เย็น กินแล้วจะเป็นโรคมะเร็ง

17. น้ำเต้าหู้ ห้ามใส่น้ำตาลแดง จะทำให้เสียวิตามิน

18. น้ำข้าวห้ามใส่กับนม จะทำให้เสียวิตามิน

19. น้ำผึ้งห้ามชงด้วยน้ำที่ร้อนจะทำให้เสียวิตามิน

20. เหล้า เบียร์ กับ ทุเรียน ห้ามกินด้วยกัน เพราะจะทำให้เลือดสูบฉีดแรง ความดันสูง อันตรายถึงชีวิต

21. บวบ ซือกวย ไชเท้า ห้ามกินวันเดียวกัน ทำให้เชื้ออสุจิอ่อนไม่แข็งแรง

หมายเหตุ : ข้อมูลที่ปรากฎเป็นข้อมูลที่ได้จากการ forword จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ บางส่วนอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยทางวิชาการยืนยัน บางส่วนเกิดจากการเขียนโดยความเห็นของผู้เขียนต้นฉบับเอง ซึ่งทางบันทึกของครูบ้านนอก ขอสงวนสิทธิ์ในความรับผิดชอบของข้อมูลเป็นของผู้เขียนบทความ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้งครับ

30 มีนาคม 2554

ปวดหัวจี๊ด ๆ… เป็นไมเกรนหรือเปล่า

ปวดหัวจี๊ด ๆ… เป็นไมเกรนหรือเปล่า



ปวดหัวจี๊ด ๆ… เป็นไมเกรนหรือเปล่า (Lisa)
เคยมั้ยที่มีอาการปวดหัวข้างเดียว ปวดขมับจนลามมาถึงเบ้าตา ปวดได้ปวดดี ปวดเป็นวัน ๆ อย่างนี้อาจเข้าข่ายเป็นไมเกรนเข้าให้แล้วล่ะ
นักร้องชื่อก้องโลกอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ หรือดาราค้างฟ้าอย่าง เอลิซาเบธ เทย์เลย์ รวมทั้งยอดดาราตลก วูปี้ โกลด์เบิร์ก และน้องสาวสุดเลิฟของ ไมเคิล แจ็กสัน- เจเน็ต แจ็กสัน ต่างป่วยเป็นโรคไมเกรนชนิดที่ว่าแทบจะทำงานทำการไม่ได้ ยิ่งเจเน็ตด้วยด้วยแล้วเธอเป็นชนิดรุนแรงมากเลยทีเดียว และยังมีดาราสาวจากเรื่อง “Desperate Housewives” มาร์เซีย ครอส ที่มีอาการไมเกรนมาตั้งแต่อายุ 14 ซึ่งทำให้เธอพยายามหาข้อมูลเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จนรู้วิธีที่จะอยู่กับโรคนี้ได้อย่างมีความสุข นั่นก็คือหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนนั่นเอง
นอกจากจะเป็นโรคฮิตของคนดังแล้ว เรา ๆ ท่าน ๆ โดยเฉพาะคนเมืองใหญ่นั้น ต่างสุ่มเสี่ยงกับการเป็นโรคนี้เช่นเดียวกันนะคะ
อะไรเล่า คือโรคไมเกรน

โรคนี้เกิดจากการบีบตัวและคลายตัวของหลอดเลือดแดงในสมองมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียนควบคู่ไปด้วย บางรายมีอาการตาพร่ามัว เห็นแสงระยิบระยับร่วมด้วย
เอ…ไมเกรนปวดแบบไหนกันนะ

ก่อนปวดหัว บางรายอาจมีอาการนำมาก่อน เช่น เห็นแสงเป็นเส้น ๆ ระยิบระยับ หรือเห็นภาพบิดเบี้ยวนำมาก่อน
ปวดหัวข้างเดียว อาจจะซ้ายหรือขวาก็ได้ แต่บางรายก็อาจปวดพร้อมกันทั้งสองข้างและปวดรุนแรงจนทำงานไม่ได้
ปวดตุ๊บ ๆ ยาวนานถึง 20 นาที บางคนทั้งปวดตุ๊บ ๆ ในสมองและปวดแบบดื้อ ๆ สลับกันไปในกรณีที่รุนแรงอาจลามไปเป็นวันหรือสัปดาห์
ปวดหัวอย่างรุนแรงจนอาเจียน บางรายอาจจะอาเจียนก่อนปวดหัวหรือหลังปวดหัวก็ได้ บางรายอาเจียนถึงขนาดทานอะไรไม่ได้เลย
ปัจจัยอะไรกระตุ้นให้เป็นไมเกรนมากขึ้น
ความเครียด
อดนอน
ทำงานมากเกินไปจนขาดการพักผ่อน
ทานอาหารบางชนิด เช่น ช็อกโกแลต เนยแข็ง กล้วยหอม น้ำตาลเทียม ผงชูรส น้ำแอบปเปิ้ล ชา กาแฟ ไวน์แดง ถั่วลิสง กะหล่ำปลีดอง ไส้กรอก
ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ขณะมีประจำเดือน หรือทานยาคุมกำเนิด
เสียงดัง หรือที่ที่เย็นจัด ร้อนจัด รวมทั้งที่ที่มีแสงจ้าเกินไป
ป้องกันได้มั้ยเนี่ย
ถ้านาน ๆ ครั้งรู้สึกปวดที อย่างปีละ 2-3 หน ก็ไม่จำเป็นต้องกินยา แต่ถ้าปวดถี่ ๆ อย่างปวดทุกวันหรือเกือบทุกสัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยข้างต้น และหมออาจให้ยาป้องกัน เช่น ยาป้องกันไม่ให้หลอดเลือดในสมองขยายตัว ยาบรรเทาอาการซึมเศร้า ฯลฯ ซึ่งยาเหล่านี้เป็นยาอันตรายต้องอยู่ในความดูแลของหมอเท่านั้น
แม้จะเป็นโรคที่ไม่ อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้รำคาญและบั่นทอนสุขภาพจิตมิใช่เล่น ฉะนั้นทางที่ดีเราควรป้องกันไม่ให้โรคนี้เกิดขึ้น ก่อนจะสายเกินแก้ดีกว่านะคะ
คุณก็มีโอกาสเป็นไมเกรนถ้า…
อ้วนเกินไป
สูบบุหรี่เป็นประจำ หรืออยู่ในสถานที่ที่ไม่ปลอดบุหรี่
นอนไม่พอ อย่างต่ำต้องวันละ 7-8 ชั่วโมง
ไม่มีเวลาออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที
ไม่เคยทานอาหารตรงตามเวลา
ไม่เคยตรวจความดัน ระดับคอเลสเตอรอล และมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีความดันและระดับคอเลสเตอรอลสูง
ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์บ่อย ๆ และดื่มชาหรือกาแฟเป็นประจำ
ดื่มน้ำน้อย เพราะคนดื่มน้ำมากจะป้องกันอาการปวดหัวได้
อาหารช่วยบรรเทาอาการไมเกรน
แมกนีเซียม เช่น ถั่วต่าง ๆ ผักใบเขียว ธัญพืช และอะโวคาโด
แคลเซียม เช่น นม งาดำ ปลาเล็กปลาน้อย
ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น เก๊กฮวย ซึ่งมีงานวิจัยระบุว่าการดื่มสารสกัดจากใบเก๊กฮวยแห้ง 125 มิลลิกรัม/วัน ช่วยป้องกันไมเกรนได้ แต่ถ้าแพ้ละอองเกสรควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับ ผักใบเขียว เพราะอาการปวดหัวเป็นอาการอย่างหนึ่งของการขาดธาตุเหล็ก
วิตามินบีและกรดโฟลิก ซึ่งมีมากในผักสีเขียว
น้ำมันปลา ซึ่งมีกรดโอเมก้า -3 ช่วยลดความรุนแรงของอาการได้
Co Enzyme Q10 มีงานวิจัยจาก Cleveland Headache Center ระบุว่าถ้าทาน Co Enzyme Q10 เสริมวันละ 150 มิลลิกรัม จะช่วยลดความถี่ของไมเกรนได้
ข้อแนะนำจาก นพ.สุรัตน์ บุญญะการกุล แผนกอายุรกรรมประสาท ศูนย์สมองและไขสันหลัง ร.พ.พญาไท 1
“ไมเกรนเป็นโรคที่วินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติละเอียด และตรวจร่างกายทางระบบประสาท โดยไม่จำเป็นต้องมีการเจาะเลือด เอ็กซเรย์ หรือตรวจด้วยคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด สำหรับผู้ป่วยที่ปวดหัวจากไมเกรน การทานยาพาราเซตตามอลได้ผลในรายที่ปวดหัวไม่มาก ที่ได้ผลดีคือยากลุ่มป้องกันหลอดเลือดหดตัว สำหรับผู้ป่วยไมเกรนที่ปวดหัวบ่อยเกือบทุกสัปดาห์ แพทย์จะสั่งยาป้องกันสำหรับรับประทานทุกวัน”

หมายเหตุ : ข้อมูลที่ปรากฎเป็นข้อมูลที่ได้จากการ forword จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ บางส่วนอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยทางวิชาการยืนยัน บางส่วนเกิดจากการเขียนโดยความเห็นของผู้เขียนต้นฉบับเอง ซึ่งทางบันทึกของครูบ้านนอก ขอสงวนสิทธิ์ในความรับผิดชอบของข้อมูลเป็นของผู้เขียนบทความ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้งครับ
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ