27 ตุลาคม 2555

จากปฏิทินมายา สู่วันสิ้นโลก 2012 แต่...

 
   ชาวมายันในกัวเตมาลา เรียกร้องขอให้รัฐบาลและผู้จัดทัวร์ทั้งหลายหยุดบิดเบือนปฏิทินมายา และนำปฏิทินมายันไปหากิน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

   ผลสืบเนื่องมาจากตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีผู้นำปฏิทินมายาไปตีความเชื่อมโยงกับวันสิ้นโลก และมีการนำการตีความผิดๆ ดังกล่าวไปนำเสนอสู่สายตาสาธารณชนทั้งในรูปแบบของภาพยนตร์ และสารคดี ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ไปทั่วโลก

   ขณะที่บริษัททัวร์ก็ได้นำปฏิทินมายามาเป็นจุดขาย ดึงดูดให้ผู้คนจองทัวร์แห่มาฉลองวันที่เชื่อว่าเป็นวันสิ้นโลก พร้อมกับอธิบายเรื่องวันสิ้นโลกอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว

   ผู้นำชนเผ่ามายัน เผยว่า "พวกเราขอต่อต้านการโกหก หลอกลวง และบิดเบือนเรื่องปฏิทินมายา เพื่อนำมาหากินกอบโกยผลประโยชน์ โดยที่ไม่ยอมบอกความจริงกับประชาชนเรื่องความหมายที่แท้จริงของปฏิทินมายาว่ามันคือการสิ้นสุดของรอบปฏิทินเท่านั้น ซึ่งตามความเชื่อของชนเผ่ามายัน การเริ่มต้นปฏิทินรอบใหม่ หมายถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับตัวเอง ครอบครัว และสังคม และจะเกิดความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไม่ได้มีความหมายอื่นใดนอกเหนือจากนี้"

   หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวควรจะคิดใหม่อีกครั้ง เกี่ยวกับการนำปฏิทินไปบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ เพราะนี่ถือเป็นการดูหมิ่นอารยธรรมของชาวมายันเลยทีเดียว


ข้อมูลโดยwww.talkystory.com/

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

16 ตุลาคม 2555

ขอเทียบตำแหน่งครูเท่าข้าราชการพลเรือน เพื่อสิทธิในการขอพระราชทานเครื่องราชฯ


ขอเทียบตำแหน่งครูเท่าข้าราชการพลเรือน เพื่อสิทธิในการขอพระราชทานเครื่องราชฯ

   นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการ ก.ค.ศ. เปิดเผยว่า การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาปัจจุบันนี้ จะต้องใช้หลักเกณฑ์ตามบัญชี 7 แนบท้ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ.2536 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่จะขอพระราชทานเครื่องราช ชั้นสายสะพาย ป.ม.ได้ ต้องดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาและเงินเดือนถึงขั้นสูงของระดับ 8 (53,080 บาท) และขอได้ในปีก่อนปีที่จะเกษียณอายุราชการ หรือในปีที่เกษียณอายุราชการเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากข้าราชการพลเรือนสามัญ ในปัจจุบันที่ได้ใช้หลักเกณฑ์ตามบัญชี 41 ที่กำหนดให้ผู้ขอดำรงตำแหน่งชำนาญการพิเศษและได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูง (53,808 บาท) สามารถเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ป.ม.ได้

   เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ก.ค.ศ. จึงเห็นว่าตามโครงสร้างของตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีลักษณะเป็นตำแหน่งทางวิชาการเนื่องจากมีการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะอยู่แล้ว จึงได้เสนอสำนักงานก.พ.ขอเทียบตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตำแหน่งครูผู้สอน ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด เทียบเท่ากับตำแหน่งข้าราชพลเรือนสามัญ ประเภทวิชาการ ตามหลักเกณฑ์บัญชี 41 เพื่อประโยชน์ในการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่ง ก.พ. ได้อนุมัติให้เทียบตำแหน่งดังกล่าวได้ เช่น ตำแหน่งครูวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ หรือผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เทียบได้กับข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ เป็นต้น

   นางศิริพร กล่าวอีกว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาฯ ได้เสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา ดังนั้น การขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จึงยังไม่สามารถถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์บัญชี 41 เหมือนกับข้าราชการพลเรือนสามัญ ของ ก.พ. ได้ ทำให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ไม่อาจใช้หลักเกณฑ์บัญชี 41 ได้ทัน สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้มีหนังสือที่ ศธ.๐๒๐๖.๘/๓๗๐ ลงวันที่ 28 กันยายน 2555 แจ้งเวียนไปยังส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติแล้ว  โดยหากประสงค์จะเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ป.ม. ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ขอให้ต้นสังกัดเสนอรายชื่อพร้อมรายละเอียดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเสนอสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษต่อไป

ที่มา  : แนวหน้าออนไลน์  09  ตุลาคม  2555


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................


07 ตุลาคม 2555

การให้ครูไปปฏิบัติธรรม


บางอย่าง ผู้ใหญ่ ก็ใช้อำนาจหน้าที่เกินไป
พอนายบอกว่า ให้ครูปฏิบัติธรรม ก็อาศัยอำนาจนโยบายนั้น บังคับครูไปปฏิบัติ ณ สถานที่ที่ตนเชื่อ ศรัทธา นับถือ โดยไม่ดูจริตของคนอื่นๆ

บ้างก็เชื่อในลัทธิใหม่ ก็เอาลัทธินั้นเข้าสู่โรงเรียน ซินแส เดินเข้าออกโรงเรียนเป็นว่าเล่น
บ้างก็เชื่อในลัทธิบางลัทธิ ก็ขวนขวายสร้างโอกาสครอบงำครู นักเรียน
บ้างก็เชื่อในมหานิกาย ธรรมยุิต ฯลฯ

บางสิ่งบางอย่าง ถ้าถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมีโอกาสได้รู้อะไรหลายๆอย่าง คุณจะรู้เลยว่า ทำไม จริตของคนอื่นๆ จึงไม่มีความสุขเวลาไปปฏิบัติธรรม...

เคยเห็นพระนั่ง"กินกาแฟ" คุยเรื่องการเมืองใหม่
เคยเป็นแม่ชี มีทีวีดู แล้วไม่ยอมไปทำวัตร เพราะเชื่อว่า ตนพ้นจุดนั้นไหม
เคยเห็นแม่ชี ถือเงินไปซื้อกับข้าวในตลาดเป็นถุงๆไหม
เคยเห็นในห้องพักปฏิบัติธรรม มีจาน ชาม ช้อน น้ำปลา ฯลฯ ไหม

...การเป็นผู้ใหญ่ มันดีอย่างนี้นี่เอง คือ สามารถสร้างโอกาสให้ชักจูงบุคคลอื่นให้เชื่อในสิ่งที่ตนเชื่อได้ ด้วยอำนาจที่เรียกว่ามือที่มองไม่เห็น
...การบังคับให้คนปฏิบัติธรรมโดยไม่ถูกจริต ก็ไม่ต่างอะไรกับเทน้ำบนสนามบาสเก็ตบอล เดี๋ยวมันก็แห้งหายไป

...สู้ให้เค้าไปปฏิบัติในวัด ในสถานที่ที่เค้าชอบ เค้าถูกจริต แล้วกลับมาทำรายงานดีกว่า เพราะคนที่ตั้งใจไปทำจริงๆ ก็เยอะ และไม่ต้องไปคิดแทนเค้าว่า เดี๋ยวก็โกหก สร้างหลักฐานเท็จ เพราะคนเขาจะคิดว่า ท่านเอาประสบการณ์ตัวเองที่เคยทำ มาตัดสินคนอื่น  ถ้าเค้าโกหกจริง บาปกรรมก็มีจริง ไม่ต้องไปตัดสิน ไปลงโทษเขาหรอก หากเขาโกหกว่าไปทำความดี ไปฏิบัติธรรมมา เพื่อเอาตัวรอดไปปีหนึ่งๆ ลูกหลานของเขา ก็คงจะทำกับเขาเช่นกัน (คล้ายๆกับโกงเงินถวายพระ โกงควายที่ถูกไถ่ชีวิต) ประมาณนั้นครับ

(เขียนตอนฟังนโนบายของใครบางคน ทางทีวี)



ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

16 กันยายน 2555

มองให้ครบทุกมุม

   ...คุณเคยตัดสินใครผิดพลาดหรือเปล่า

   ผมว่า ทุกคนก็เคย ผมเองก็ยังเคย นั่นเพราะ เราตัดสินคนๆนั้นด้วยข้อมูลที่เรามี ด้วยความรู้สึกที่เรามี แล้วเราก็กลับมาเสียใจและรู้สึกผิดที่หลัง ว่าเราไม่ควรคิดกับเขาแบบนั้น

   บางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นในหัวข้อครูบ้านนอกอย่างครูแชมป์ ตอนนั่งดูแก้วโกโก้

     เรามองด้านนี้ เราเห็นหูของแก้ว ในขณะที่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับมองเห็นว่า มันเป็นแก้วเปล่าๆ ไำม่มีหู นั่นเพราะ เขามองคนละมุมกับเรา

    มันก็คงเหมือนกับที่หลายคนกำลังตัดสินเราอยู่
    บางคนเค้าอาจมองว่า การที่ผมออกมาประชุม อบรม สัมมนา เป็นวิทยากร เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย เป็นการเบียดบังเวลาราชการ เอาเวลามาทำงานส่วนตัว

     ผมกำลังมองว่า สิ่งต่างๆที่กล่าวมา เป็นการทำงานส่วนตัวในส่วนไหน
     คนที่เค้าพูด เค้าเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ ว่าใน 1 ปีการศึกษา เค้าไปอบรมในนามของโรงเรียนกี่ชั่วโมง (ไม่นับที่เค้าสมัครใจอบรมเพื่อประโยชน์ของตัวเองนะจ๊ะ)
     เค้าเคยโดนโทรศัพท์ตอนสามทุ่มครึ่งสั่งให้ไปอบรมในวันพรุ่งนี้หรือไม่
     เค้าเคยโดนโทรศัพท์ตอนกำลังจะออกบ้านไปโรงเรียน ให้ไปประชุมแทนการเข้าโรงเรียนหรือไม่
     เค้าเคยโดนโทรศัำำพท์ให้เตรียมตัวให้เข้าไปถ่ายรูปน้ำท่วมในโรงเรียนหรือไม่
     เค้าเคยโดนโทรศัพท์ให้ย้อนกลับไปประชุมกรรมการแข่งขัน ตอนที่กำลังขี่รถไปถึงครึ่งทางแล้วหรือไม่
     เค้าเคยต้องนำสิ่งที่โดนอบรม ประชุม สัมมนา กลับมาทำงานต่อ มาขยายผล มาเขียนรายงาน เขียนแผนปฏิบัติการหรือไม่ ฯลฯ

     ...แม้กระทั้งการสอนพิเศษที่ผมต้องสอนนักเรียนที่อื่นเพิ่มนั้น เพราะผมมีเหตุผลอะไร

     คุณรู้หรือไม่ เวลาที่ผมบอกเหตุผลไปบางคนบอกว่า งบประมาณไปอยู่ที่ไหนหมด ทำไมเค้าไม่จัดซื้อจัดหา ผมมาทราบในภายหลังว่า เค้ามองภาพโรงเรียนของผมมีเนื้อที่ 10 ไร่ มีเด็กนักเรียนเกือบพัน มีครูครึ่งร้อย มีผู้ปกครองที่ร่ำรวยพร้อมที่จะให้การสนับสนุน

     แต่ในโลกของความเป็นจริง โรงเรียนผมมีนักเรียนเพียง 99 คน งบประมาณสนับสนุนก็เลยน้อยตาม ทั้งๆที่มีนักเรียนระดับมัธยมต้นอยู่ด้วย

     หนักไปกว่านั้น นอกงานงบประมาณจะน้อยแล้ว จำนวนครูก็ลดลงตามจำนวนเด็ก ทั้งๆที่ก็ยังต้องสอนระดับมัธยมอยู่ เอาเป็นว่า คุณลองนึกถึงครูที่ไม่ได้จบคณิตศาสตร์ ต้องมาสอนคณิตศาสตร์ นอกเหนือจากการสอนวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ไปด้วยกัน

     คุณภาพ คงไม่ต้องพูดถึง...

     เรื่องสามัญสำนึกของความเป็นครู เราก็เชื่อว่า ครูทุกคนล้วนต้องการให้นักเรียนอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งงบประมาณดังที่กล่าวมา ทั้งสื่อการสอน ผมพูดตรงๆ ผมอยากซื้อ VCD คณิตศาสตร์ ของระดับ ม.3 มาเปิดให้เด็กๆดู แต่ติดด้วยราคาชุดละสามพันสามร้อยกว่าบาท อยากมีจอโปรเจคเตอร์มาฉายในห้องวิทยาศาสตร์ จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นเดินลง ไม่ต้องรบกวนคนอื่น อยากได้เอ๊กซ์ทานอล ฮาร์ดดิกส์ มานำไฟล์ VDO ไฟล์ข้อมูลสาระน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ มาเปิดให้เด็กๆดู

     ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเงินเดือนของผมยังน้อยมากๆ

    ทางเดียวที่ผมจะหามาได้ คือมีผู้สนับสนุน หรือก็ต้องเก็บเงินซื้อเอง....

     เท่าที่พูดมา คือผมกำลังจะอธิบายให้หลายคนที่คิดว่า ผมเป็นพวกสอนพิเศษที่หวังรวย หากินกับเด็กๆ ผมเองก็อยากตอบว่า เอาไว้ผมเอาเวลาไปขายตรง ขายประกันแล้วรบกวนการสอนของผม แบบนั้นคงจะดูไม่ดีมากกว่าไหม...

     ...ส่วนเรื่องที่ผม เดินสายบ่อยๆ (แหม พูดยังกับเป็นดาราเน๊าะ)
     ในใจลึกๆ ผมกำลังทำในสิ่งที่ ทำลายคำว่า "โรงเรียนวัดยางแขวนอู่อยู่ตรงไหนอะ ไม่เคยรู้จัก" เพราะอย่างน้อยๆ เค้าก็จะได้คุ้นชื่อ ครูแชมป์ วัดยางแขวนอู่ไว้บ้าง

     บางคนอาจมองว่า มันสำคัญด้วยเหรอ กับการที่ทำให้โรงเรียนเป็นที่รู้จัก...

     ...สำคัญสิครับ

     ถ้าโรงเรียนเป็นที่รู้จัก โอกาสที่งบประมาณจะเข้ามาก็มากขึ้น โรงเรียนพัฒนาได้มากขึ้น นักเรียนมีสิ่งดีๆไว้ใช้มากขึ้น

     ผมคิดแบบนี้มาตลอด คิดแบบนี้ทุกวินาทีของลมหายใจ และทุกๆที่ที่ผมรัก ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน หรือที่มหาวิทยาัลัยที่สร้างผมมา

     บางที การเสียสละแล้วโดนด่า แต่ทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นมา ผมก็ยอมครับ

     ...เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังทำขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ !!!!!!


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

15 กันยายน 2555

วันเสาร์นี้ไม่มีอบรม

   วันเสาร์นี้ แสนดีใจ

   เพราะไม่มีอบรม มีเวลากวาดบ้านถูบ้านบ้างหละ เสาร์นี้ 555+

   จริงๆแล้ว ก็ยังต้องทำงานแหละครับ ตามวิถีของครูไทย ครูบ้านนอกครับ

   ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

14 กันยายน 2555

อีกบทบาทหนึ่ง กับการเป็นอาจารย์พิเศษครั้งแรก

   ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 และผู้อำนวยการโรงเรียนวัดยางแขวนอู่ ได้มอบหมายให้ครูพิริยะ  ตระกูลสว่าง ไปให้บริการทางวิชาการ ตามหนังสือที่ ศธ ๐๕๓๘.๐๕ / ๙๐๒ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม เป็นอาจารย์พิเศษร่วมสอนในรายวิชา IS363 การจัดการข้อมูลสารสนเทศ กลุ่มสาขาวิชาบรรณรักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี ในวันที่ 14 กันยายน 2555 เวลา 12.30 - 16.30 น.

   เป็นธรรมดาที่จะต้องมีความรู้สึกตื่นเต้นบ้าง แต่พอรู้ว่าน้องๆนักศึกษากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เคยอบรมเมื่อครั้งก่อน อีกทั้งยังขยัน และนิสัยน่ารักทุกคน เลยสบายใจหน่อย

หนังสือเชิญ








 
   ต้องขอบพระคุณอาจารย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปราณี ซื่ออุทิศกุล และขอบคุณน้องๆ ที่น่ารักทุกคนนะครับ ที่ี่ร่วมมือร่วมใจกัน พบกันอีกครั้ง วันศุกร์หน้านะครับ วันศุกร์หน้าสอบ เก็บคะแนน 20 คะแนน นะครับ


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

วิทยากรโครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษา One Tablet per Child รุ่น 2

   วันนี้ ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรการใช้งาน Tablet ตามโครงการ OTPC (ซึ่งตามที่เรียนไปแล้วว่า ไม่รู้ตัวเลยว่ามีความสามารถด้านนี้ ฮาาาา)

   ในการนี้ ขอขึ้นพูดเป็นคิวแรก ก็ถูกพี่พิพัฒน์  ปิ่นจินดา เย้าเล่นว่า "แบบนี้พี่ก็เสียเปรียบสิ จืดหมด" จะว่าไป ก็อยากพูดคู่กับพี่พิพัฒน์บ้าง เพราะอยากรู้ว่า เมื่อนักวิชาการอย่างพี่พิพัฒน์ กับครูบ้านนอกไร้สาระแบบผมมาเจอกัน จะเป็นเยี่ยงไร

ทำความรู้จักแก้เขิน

มีฮาเล็กน้อยจากผู้เข้ารับการอบรม

บุก ถึงที่





คือ... แบบว่า ... มันเครียดขนาดนั้นเลยเหรอครับ


แหม.....



ประชาสัมพันธ์ คนสวย

น้องชายผม มาไม่ทันฟังผมพูดเลยครั้งนี้
    ก็ต้องกล่าวขอบพระคุณทุกๆท่าน ทั้งผู้ดำเนินงาน ทั้งคุณครูผู้เข้ารับการอบรม ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มครูโรงเรียนเอกชน โรงเรียนเทศบาล ครับ ที่มุ่งมั่นตั้งใจครับ

   อย่าลืม เข้าไปแรกเปลี่ยนเรียนรู้กันที่ www.kruchamp.com/teblet นะครับ


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

13 กันยายน 2555

ภารกิจ + ร่างกาย = เหนื่อยมากๆ

   วันนี้เป็นอีก 1 วันที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

   แถมยังมีอาการแปลกๆ

   หายใจขัดๆ เหนื่อยๆ และมีอาการปวดตึงที่ไหล่และคอ

   ผมต้องฝึกสังขาร ทำข้อมูล onet ให้เสร็จ ทำเรื่องถ่ายเอกสารให้เสร็จ สั่งงานเด็กให้เสร็จ ผอ. ก็โทรมาบอกว่า มีข้อมูลนักเรียนที่ไปแข่งเมื่อวานไม่ครบ ให้ตามให้ด้วย ก่อนเที่ยง

   เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว จึงกลับมาเปลี่ยนคอมพ์ที่บ้าน เพื่อไปเป็นคณะวิทยากร ครู ป.1 ใช้ tablet

   ทำไม มันช่างเหนื่อยแบบนี้หนอ ชีวิต 555+

   ... เราคือคนของพระราชา ข้าของแผ่นดิน

   ต้องขอบคุณประชาสัมพันธ์คนสวย ที่แสดงหลักฐานให้คนอื่นได้เห็นว่า ไม่ได้โดดงาน 555+
   http://www.phitsanulok1.go.th/show_info_news.php?show_id=892


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ