02 เมษายน 2554

น้ำผึ้ง...ช่วยสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ‏

ตารางประโยชน์ของน้าผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ
โรค ปริมาณและวิธีใช้
1. บำรุงสุขภาพ น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน
2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้
3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน
4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน
5.ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร
7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน
8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน
9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1แก้ว
10. เด็กหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม
11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร
12. ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่ เย็นแล้วล้างแผลให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผลไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง
14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ3 ครั้งเป็นประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็นประจำ
18. เสียน้ำหรือเสียเลือด(10-20%) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1ถ้วย

01 เมษายน 2554

อยากให้อ่าน ดีมาก (ความรักของแม่)

อยากให้อ่าน ดีมาก (เรื่องจริงของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ) :
> เพื่อน ๆ ช่วยอ่านข้อความนี้ดีมาก ชีวิตคน
> มีคนเล่าให้ฟังว่า... สมัยก่อน...คุณพงษ์เทพ
> กระโดนชำนาญ...ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต..
> แกอยู่ในป่า...กับเพื่อน 5 - 6
> คน...ทุกวันก็จะเปลี่ยนเวรกัน...ล่าสัตว์ป่า...มาทำอาหาร.
> วันหนึ่ง...เป็นเวรของคุณพงษ์เทพ
> แกก็คว้าปืนยาว...สะพายบ่า.เดินเข้าป่าไป...
> อาหารโปรดของคุณพงษ์เทพ.....คือแกงเนื้อลิง...
> พอเดิน เข้าป่าไปได้สักพัก.
> เห็นลิงตัวหนึ่ง...นั่งอยู่บนต้นไม้...หันหลังให้..
> แกก็รีบยกปืนประทับบ่า...ยิงเปรี้ยง...ไปที่ตัวลิง..
>
> เหตุการณ์แปลกประหลาดได้เกิดข ึ้น...
> ปกติ...ลิงพอถูกยิง..จะหล่นตุ๊บ...จาก ต้นไม้ทันที...
>
> แต่ลิงตัวนี้...นั่งจับกิ่งไม้เฉย...ไม่หล่นลงมา...
> จะว่ายิงไม่ถูก...ก็ไม่น่าเป็นไปได้...
> เพราะคุณพงษ์เทพ...แกยิงปืนแม่น...ระยะแค่นี้
> เป้าใหญ่ขนาดนี้...ไม่พลาดแน่นอน...
> ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น...ลิงตัวที่ถูกยิง...
> ร้องโหยหวน...เสียงดังมาก..... ฝูงลิงที่แยกย้ายกัน
> ออกหากินอยู่บริเวณใกล้ ๆ... วิ่งแห่กันเข้ามาหา
> ลิงตัวที่ถูกยิง... แล้วร้องโหยหวน...เหมือนกันหมด...
> แกตกใจ...ยืนตกตะลึง...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...
> สักครู่...ลิงตัวที่ถูกยิง. โยนวัตถุเล็กๆ...สีดำ ๆ..ชิ้นหนึ่ง...ให้กับลิงตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด... แล้วก็หล่นตุ๊บ...

> ลงมาจากต้นไม้...คุณพงษ์เทพ...รีบวิ่งไปดู...
> ลิงถูกยิงเข้าที่หลัง... ทะลุหน้าอก...เลือดแดงฉาน..เต็มตัว...
> คุณพงษ์เทพเห็นแล้ว...ต้องเบือนหน้าหนี...
> ลิงที่ตกลงมา...เป็นลิงแม่ลูกอ่อน...ขณะที่ถูกยิง...
> เธอกำลังให้นม ลูก...
>
> ลูกตัว น้อย...กำลังดูดนมอย่างมีความสุข...ทันทีที่ถูกยิง..
> ถ้าเป็นลิงตัวอื่น... จะหล่นตุ๊บ...ลงจากต้นไม้.....
>
> แม่ลิงตัวนี้...ยังหล่นไม่ได้...ยังตายไม่ได้..
> เพราะเธอยังมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ...คือ...
> รักษาชีวิตลูกน้อย...ให้พ้นอันตราย...
> เธอกัดฟัน...โหนกิ่งไม้ไว้.แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ...
> มองดูเลือดที่ไหลหยดเป็นทาง ด้วยความตกใจ...
> พยายามรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมี! เหลือทั้งหมด...
> ตะโกนสุดเสียง...ร้องเรียก.ฝูงลิงเข้ามาใกล้ๆ..
> แล้วก็ฝากฝัง...ให้เลี้ยงลูกน้อยแทนเธอ
>
> หลังจากโยนลูกให้จ่าฝูงแล้ว...มองดูลูก...ถูกพาไป จนลับสายตาแล้ว.. แน่ใจว่า...ลูกปลอดภัยแล้ว...
> จึงหลับตา...แล้วหล่นลงมา.....ตาย.. คุณพงษ์เทพ...ก้มมองหน้าลิง..แล้วร้องไห้...
> เพราะที่เบ้าตาลิง...มีหยดน้ำตาใส ๆ. กำลังไหลริน...
> คุณพงษ์เทพ..รีบเดินกลับที่พัก...เอาปืนไปเผาทิ้ง...
> ไม่ยอมออกล่าสัตว์อีกเลย.ตลอดชีวิต..
> และภาพความรักที่ยิ่งใหญ่..ของแม่ลิง...ที่มีต่อลูกน้อย ......
> เป็นแรงบันดาลใจ. ให้พงษ์เทพ...แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง...
> ชื่อว่า... ' ลิงทะโมน... '
> เพื่อยกย่อง...เชิดชู...คุณค่าของความรัก...ที่แม่...มีต่อลูก
>
> *****************
>
> แม่นะหรือ... คือผู้สร้าง ทุกสิ่ง อันยิ่งใหญ่
> คือผู้รัก ลูกตน กว่าใครใคร คือผู้คอย ห่วงใย ทุกเวลา
>
> คือคนร้อน เมื่อลูกรุ่ม
> กลุ้มเรื่องทุกข์
> คือคนสุข เมื่อลูกนั้น มีหรรษา
> คือคนปลอบ เมื่อลูกเหงา เศร้าอุรา
> คือคนคอย ให้เมตตา ลูกทุกคราว
>
> เป็นสายฝน คอยช่วยให้ ลูกสดชื่น
> เป็นผ้าผืนคอยห่มให้ เพื่อคลายหนาว
> เป็นกระโถน คอยรับทุกข์ ทุกเรื่องราว
> เป็นบันได ไต่ดาว ลูกก้าวไป
> เป็นคุณครู ผู้สอนสั่งทุกอย่างหนอ
> เป็นคุณหมอ คอยรักษา จะหาไหน
> เป็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ได้ดั่งใจ
> จะหาใครได้เท่าแม่เหมือนไม่มี
> สาธยาย อย่างไร คงไม่หมด
> พระคุณแม่ ยากแทนทด เหมือนปลดหนี้
> สิ่งล้ำค่าใดใด ในปฐพี
> จะเทียมเท่า คุณแม่นี้ ไม่มีเอย.
>
> ----- จบการส่งต่อข้อความ -----
>
> อย่าลืม ก่อนนอนคืนนี้ กอดแม่-พ่อสักครั้งหากท่านยังมีโอกาส.....

31 มีนาคม 2554

อาหารที่ไม่ควรทานร่วมกัน‏

อาหารที่ไม่ควรทานร่วมกัน‏
1. เหล้าขาวกับลูกพลับ กินด้วยกันไม่ได้จะทำให้เป็นพิษ



2. หัวไชเท้ากับเห็ดหูหนู ทั้งดำและขาว กินด้วยกันไม่ได้จะเป็นโรคผิวหนัง

3. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง กินด้วยกันไม่ได้จะทำให้หูหนวก

4. มันฝรั่งกับกล้วยทุกชนิด กินรวมกันไม่ได้จะทำให้หน้าเป็นฝ้า

5. กล้วยกับเผือก กินด้วยกันไม่ได้จะทำให้ท้องอืด

6. ถั่วลิสงกับฟักทอง กินรวมกันไม่ได้จะทำให้ทำร้ายร่างกายและลำไส้อักเสบ

7. มันเทศกับลูกพลับ กินรวมกันแล้วจะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร

8. มันฝรั่งกับลูกพลับ กินรวมกันแล้วจะทำให้เป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ

9. หัวไชเท้ากับผลไม้ทุกชนิด กินรวมกันแล้วจะทำให้เกิดคอพอก

10. น้ำเต้าหู้ นมสด ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำให้ท้องผูกและเส้นเลือดตับ

11. ผักป๋วยเล้ง ห้ามกินกับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง

12. กล้วย มะละกอ แตงโม ห้ามกินด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน

13. ส้มกับมะนาว ห้ามกินด้วยกันจะทำให้กระเพาะทะลุ

14. เหล้าขาวกับเบียร์ ห้ามกินด้วยกันจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก

15. ปลาทุกชนิดห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง

16. ขิงดอง ห้ามเข้าตู้เย็น กินแล้วจะเป็นโรคมะเร็ง

17. น้ำเต้าหู้ ห้ามใส่น้ำตาลแดง จะทำให้เสียวิตามิน

18. น้ำข้าวห้ามใส่กับนม จะทำให้เสียวิตามิน

19. น้ำผึ้งห้ามชงด้วยน้ำที่ร้อนจะทำให้เสียวิตามิน

20. เหล้า เบียร์ กับ ทุเรียน ห้ามกินด้วยกัน เพราะจะทำให้เลือดสูบฉีดแรง ความดันสูง อันตรายถึงชีวิต

21. บวบ ซือกวย ไชเท้า ห้ามกินวันเดียวกัน ทำให้เชื้ออสุจิอ่อนไม่แข็งแรง

หมายเหตุ : ข้อมูลที่ปรากฎเป็นข้อมูลที่ได้จากการ forword จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ บางส่วนอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยทางวิชาการยืนยัน บางส่วนเกิดจากการเขียนโดยความเห็นของผู้เขียนต้นฉบับเอง ซึ่งทางบันทึกของครูบ้านนอก ขอสงวนสิทธิ์ในความรับผิดชอบของข้อมูลเป็นของผู้เขียนบทความ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้งครับ

30 มีนาคม 2554

ปวดหัวจี๊ด ๆ… เป็นไมเกรนหรือเปล่า

ปวดหัวจี๊ด ๆ… เป็นไมเกรนหรือเปล่า



ปวดหัวจี๊ด ๆ… เป็นไมเกรนหรือเปล่า (Lisa)
เคยมั้ยที่มีอาการปวดหัวข้างเดียว ปวดขมับจนลามมาถึงเบ้าตา ปวดได้ปวดดี ปวดเป็นวัน ๆ อย่างนี้อาจเข้าข่ายเป็นไมเกรนเข้าให้แล้วล่ะ
นักร้องชื่อก้องโลกอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ หรือดาราค้างฟ้าอย่าง เอลิซาเบธ เทย์เลย์ รวมทั้งยอดดาราตลก วูปี้ โกลด์เบิร์ก และน้องสาวสุดเลิฟของ ไมเคิล แจ็กสัน- เจเน็ต แจ็กสัน ต่างป่วยเป็นโรคไมเกรนชนิดที่ว่าแทบจะทำงานทำการไม่ได้ ยิ่งเจเน็ตด้วยด้วยแล้วเธอเป็นชนิดรุนแรงมากเลยทีเดียว และยังมีดาราสาวจากเรื่อง “Desperate Housewives” มาร์เซีย ครอส ที่มีอาการไมเกรนมาตั้งแต่อายุ 14 ซึ่งทำให้เธอพยายามหาข้อมูลเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จนรู้วิธีที่จะอยู่กับโรคนี้ได้อย่างมีความสุข นั่นก็คือหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนนั่นเอง
นอกจากจะเป็นโรคฮิตของคนดังแล้ว เรา ๆ ท่าน ๆ โดยเฉพาะคนเมืองใหญ่นั้น ต่างสุ่มเสี่ยงกับการเป็นโรคนี้เช่นเดียวกันนะคะ
อะไรเล่า คือโรคไมเกรน

โรคนี้เกิดจากการบีบตัวและคลายตัวของหลอดเลือดแดงในสมองมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียนควบคู่ไปด้วย บางรายมีอาการตาพร่ามัว เห็นแสงระยิบระยับร่วมด้วย
เอ…ไมเกรนปวดแบบไหนกันนะ

ก่อนปวดหัว บางรายอาจมีอาการนำมาก่อน เช่น เห็นแสงเป็นเส้น ๆ ระยิบระยับ หรือเห็นภาพบิดเบี้ยวนำมาก่อน
ปวดหัวข้างเดียว อาจจะซ้ายหรือขวาก็ได้ แต่บางรายก็อาจปวดพร้อมกันทั้งสองข้างและปวดรุนแรงจนทำงานไม่ได้
ปวดตุ๊บ ๆ ยาวนานถึง 20 นาที บางคนทั้งปวดตุ๊บ ๆ ในสมองและปวดแบบดื้อ ๆ สลับกันไปในกรณีที่รุนแรงอาจลามไปเป็นวันหรือสัปดาห์
ปวดหัวอย่างรุนแรงจนอาเจียน บางรายอาจจะอาเจียนก่อนปวดหัวหรือหลังปวดหัวก็ได้ บางรายอาเจียนถึงขนาดทานอะไรไม่ได้เลย
ปัจจัยอะไรกระตุ้นให้เป็นไมเกรนมากขึ้น
ความเครียด
อดนอน
ทำงานมากเกินไปจนขาดการพักผ่อน
ทานอาหารบางชนิด เช่น ช็อกโกแลต เนยแข็ง กล้วยหอม น้ำตาลเทียม ผงชูรส น้ำแอบปเปิ้ล ชา กาแฟ ไวน์แดง ถั่วลิสง กะหล่ำปลีดอง ไส้กรอก
ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ขณะมีประจำเดือน หรือทานยาคุมกำเนิด
เสียงดัง หรือที่ที่เย็นจัด ร้อนจัด รวมทั้งที่ที่มีแสงจ้าเกินไป
ป้องกันได้มั้ยเนี่ย
ถ้านาน ๆ ครั้งรู้สึกปวดที อย่างปีละ 2-3 หน ก็ไม่จำเป็นต้องกินยา แต่ถ้าปวดถี่ ๆ อย่างปวดทุกวันหรือเกือบทุกสัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยข้างต้น และหมออาจให้ยาป้องกัน เช่น ยาป้องกันไม่ให้หลอดเลือดในสมองขยายตัว ยาบรรเทาอาการซึมเศร้า ฯลฯ ซึ่งยาเหล่านี้เป็นยาอันตรายต้องอยู่ในความดูแลของหมอเท่านั้น
แม้จะเป็นโรคที่ไม่ อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้รำคาญและบั่นทอนสุขภาพจิตมิใช่เล่น ฉะนั้นทางที่ดีเราควรป้องกันไม่ให้โรคนี้เกิดขึ้น ก่อนจะสายเกินแก้ดีกว่านะคะ
คุณก็มีโอกาสเป็นไมเกรนถ้า…
อ้วนเกินไป
สูบบุหรี่เป็นประจำ หรืออยู่ในสถานที่ที่ไม่ปลอดบุหรี่
นอนไม่พอ อย่างต่ำต้องวันละ 7-8 ชั่วโมง
ไม่มีเวลาออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที
ไม่เคยทานอาหารตรงตามเวลา
ไม่เคยตรวจความดัน ระดับคอเลสเตอรอล และมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีความดันและระดับคอเลสเตอรอลสูง
ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์บ่อย ๆ และดื่มชาหรือกาแฟเป็นประจำ
ดื่มน้ำน้อย เพราะคนดื่มน้ำมากจะป้องกันอาการปวดหัวได้
อาหารช่วยบรรเทาอาการไมเกรน
แมกนีเซียม เช่น ถั่วต่าง ๆ ผักใบเขียว ธัญพืช และอะโวคาโด
แคลเซียม เช่น นม งาดำ ปลาเล็กปลาน้อย
ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น เก๊กฮวย ซึ่งมีงานวิจัยระบุว่าการดื่มสารสกัดจากใบเก๊กฮวยแห้ง 125 มิลลิกรัม/วัน ช่วยป้องกันไมเกรนได้ แต่ถ้าแพ้ละอองเกสรควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับ ผักใบเขียว เพราะอาการปวดหัวเป็นอาการอย่างหนึ่งของการขาดธาตุเหล็ก
วิตามินบีและกรดโฟลิก ซึ่งมีมากในผักสีเขียว
น้ำมันปลา ซึ่งมีกรดโอเมก้า -3 ช่วยลดความรุนแรงของอาการได้
Co Enzyme Q10 มีงานวิจัยจาก Cleveland Headache Center ระบุว่าถ้าทาน Co Enzyme Q10 เสริมวันละ 150 มิลลิกรัม จะช่วยลดความถี่ของไมเกรนได้
ข้อแนะนำจาก นพ.สุรัตน์ บุญญะการกุล แผนกอายุรกรรมประสาท ศูนย์สมองและไขสันหลัง ร.พ.พญาไท 1
“ไมเกรนเป็นโรคที่วินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติละเอียด และตรวจร่างกายทางระบบประสาท โดยไม่จำเป็นต้องมีการเจาะเลือด เอ็กซเรย์ หรือตรวจด้วยคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด สำหรับผู้ป่วยที่ปวดหัวจากไมเกรน การทานยาพาราเซตตามอลได้ผลในรายที่ปวดหัวไม่มาก ที่ได้ผลดีคือยากลุ่มป้องกันหลอดเลือดหดตัว สำหรับผู้ป่วยไมเกรนที่ปวดหัวบ่อยเกือบทุกสัปดาห์ แพทย์จะสั่งยาป้องกันสำหรับรับประทานทุกวัน”

หมายเหตุ : ข้อมูลที่ปรากฎเป็นข้อมูลที่ได้จากการ forword จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ บางส่วนอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยทางวิชาการยืนยัน บางส่วนเกิดจากการเขียนโดยความเห็นของผู้เขียนต้นฉบับเอง ซึ่งทางบันทึกของครูบ้านนอก ขอสงวนสิทธิ์ในความรับผิดชอบของข้อมูลเป็นของผู้เขียนบทความ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้งครับ

29 มีนาคม 2554

นั่งหน้าคอมพ์นานๆ ปวดต้นคอ-สายตาล้า คุณอาจเป็นโรค“ออฟฟิศซินโดรม”

นั่งหน้าคอมพ์นานๆ ปวดต้นคอ-สายตาล้า คุณอาจเป็นโรค“ออฟฟิศซินโดรม”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

By Lady Manager

หลายคนคงคุ้นหูกันบ้างแล้วกับ ออฟฟิศ ซินโดรม (Office Syndrome) หรือโรคที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ที่สาวออฟฟิศหลายคนฟังแล้วเริ่มหวั่นใจว่า ตัวเองมีภาวะเสี่ยงแค่ไหน ..ก็แหม แค่ชื่อโรคที่มีคำว่า “ ออฟฟิศ” เข้าไปเกี่ยวซะแล้ว จะให้ไม่หวั่นใจได้ยังไง!?




ในเมื่อเจ้าโรคชื่อแปลก ทำให้สาวๆ หวั่นใจได้ขนาดนี้ เราจึงติดต่อไปยัง นายแพทย์จตุพร โชติกวณิชย์ แห่งภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปีดิคส์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อให้ข้อมูลชัดๆ ว่า ออฟฟิศ ซินโดรมคือโรคที่มีลักษณะอาการอย่างไร สาวเวิร์คกิ้งวูเมน (working women) อย่างเราๆ มีความเสี่ยงสูงแค่ไหนที่จะเป็น ไปจนถึงจะมีวิธีการป้องกันไม่ให้โรคนี้เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเรา

“ออฟฟิศ ซินโดรม คือกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากการทำงานหนัก ทั้งอาการปวดหลัง, ปวดไหล่, ปวดมือ, ล้าสายตา, ปวดหัว ฯลฯ กล่าวคือ ภาวะการเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำงานหนัก หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Over Use หมายถึง ทำงานมาก..ไม่สมดุลในชีวิต จะถูกเรียกว่า กลุ่มอาการของออฟฟิศ ซินโดรม ทั้งหมด”

อาจารย์หมอจตุพรอธิบายยาวว่า กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม พบมากในคนอายุ 25-40 ขึ้นไป โดยเป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบว่าส่วนใหญ่เกิดจากการนั่งใช้คอมพิวเตอร์ทำงานนานๆ แล้วไม่ได้ขยับตัว หรือยืดเส้น ยืดสาย เพื่อบริหารร่างกาย สำหรับอาการออฟฟิศ ซินโดรม ที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทำงานบ้านเรา คือ กลุ่มอาการต่อไปนี้

ปวดหัวไหล่-ปวดหลัง เกิดจากการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยบริเวณสะบักหัวไหล่ทั้ง 2 ข้าง เหมือนมีคนเอามือมากดแรงๆ ที่หัวไหล่ลามไปจนถึงปวดหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเกิดอาการล้าจากการใช้งานหนัก

วิธีป้องกัน ควรเลือกเก้าอี้ที่ปรับขึ้นลงได้ และควรมีพนักพิงที่สามารถรองรับศีรษะได้ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกเกร็งเวลานั่งทำงาน และปรับเปลี่ยนอิริยาบถทุก 1-2 ชม. ไม่นั่งติดต่อในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ หรือทุก 2 – 3 ชั่วโมง ควรลุกขึ้นยืดเส้น เปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบ้าง





ปวดตา-ปวดศีรษะ เกิดจากการที่ต้องจ้องที่จอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อตาเกร็งจนเกิดอาการล้า ตาแห้ง น้ำตาไหลระคายเคืองตา ตามัว ปวดตา และอาจลุกลามไปถึงการปวดศีรษะ ส่วนในรายที่เป็นโรคไมเกรน (Migraine Headache) หรือโรคปวดศีรษะข้างเดียวอยู่แล้ว อาการปวดก็จะหนักขึ้น

วิธีป้องกัน ควรพักสายตาเป็นระยะ ทุก 20 นาที, หลับตาสักครู่ทุก 1 ชั่วโมง หรือลุกเดินไปทำกิจกรรมอื่นเพื่อพักสายตา รวมถึงควรวางจอภาพคอมพิวเตอร์ให้ต่ำกว่าระดับสายตา 15 องศาเพื่อช่วยลดอาการปวดตาและปวดคอ ส่วนความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรปรับความสว่างให้พอเหมาะ ไม่สว่างจ้าจนเกินไป (ตามทฤษฎีบอกไว้ว่า แสงสว่างของจอคอมพิวเตอร์ มากกว่าความสว่างของสภาพแวดล้อมในห้องสามเท่า) และควรปรับสีของจอให้สบายตา โดยจากผลการวิจัยพบว่าตัวอักษรสีเข้มบนพื้นจอสีอ่อนจะทำให้อ่านได้อย่างสบาย ตา

ปวดข้อมือ เกิดจากภาวะผังผืด ทับเส้นประสาท จะมีอาการจะมีอาการปวดมือ และร้าวขึ้นไปที่แขน รวมทั้งมักมีอาการชาที่นิ้วมือ โดยเฉพาะในเวลานอนหรือเวลาตื่นนอนตอนเช้า หากบางรายมีการการหนักมือจะเริ่มอ่อนแรง ไม่มีแรงกำมือ สาเหตุเกิดจากการใช้งาน และวางตำแหน่งของข้อมือ ในท่าเดียวกันนานๆ โดยเฉพาะเมื่อข้อมืออยู่ในตำแหน่งที่กระดกขึ้น หรือ ‘งอ’ ลงมากๆ เป็นเวลานาน เช่น การพิมพ์ คีย์บอร์ด (key board) คอมพิวเตอร์





วิธีป้องกัน ควรเลือกโต๊ะทำงานให้มีระดับพอดีกับข้อศอก เพื่อที่จะสามารถพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดได้อย่างถนัด รวมถึงที่แป้นคีย์บอร์ด ควรมีที่รองรับข้อมือไม่ให้ข้อมือกระดกบ่อยๆ และควรจัดสภาพโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อความสะดวกในการหยิบจับสิ่งของต่างๆ โดยไม่เมื่อย

“สำหรับคนที่ป้องกันไม่ทัน และเกิดภาวะโรคนี้ขึ้นมาแล้ว วิธีการรักษารักษาระยะสั้นจะเป็นไปตามอาการคือ หากปวดเมื่อยก็ให้ยาบรรเทาอาการปวด เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายเส้น ยาแก้อักเสบ แพทย์ทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู จะแนะนำให้ทำกายภาพบำบัด แต่การรักษาแบบนี้ก็เป็นเพียงการบรรเทาอาการเท่านั้น โรคนี้จะไม่หายขาดตราบใดที่เรายังใช้งานร่างกายอย่างหนัก”

อาจารย์หมอหน้าละอ่อนกล่าวว่า วิธีที่จะช่วยรักษาได้ระยะยาว

“คือ การเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อดูแลสุขภาพให้แข็งแรง จัดองค์ประกอบโต๊ะ- เก้าอี้ และนั่งในท่าที่เหมาะสม” ดังที่แนะนำไว้ข้างต้น พร้อมกันนี้อาจารย์หมอใจดี กำชับว่า

“สิ่งสำคัญของการป้องกันโรคออฟฟิศ ซินโดรม อีกอย่างคือ การเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง ให้เป็นคนไม่เครียด และมองโลกในแง่ดีเสมอ เพราะแม้จะยังไม่มีผลงานวิจัยรายงานที่แน่นอน แต่จากการทำงานรักษาผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม มากว่า 20 ปี พบว่าคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ค่อนข้างเครียด มองโลกในแง่ร้าย หรือมีปัญหาที่ทำงาน ปัญหาทางบ้าน แทบทั้งสิ้น ซึ่งความเครียดไม่ได้ส่งผลแค่กับโรคนี้เท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งโรคร้ายอีกหลายโรค”

เตือน! อิริยาบถที่เสี่ยงเกิดโรคในกลุ่มออฟฟิศ ซินโดรม

* นั่งไขว้ห้าง เป็นระยะเวลานานๆ
* นั่งกอดอกนานๆ เพราะจะทำให้ปวดที่หัวไหล่ได้
* การนั่งหลังค่อม
* นั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้น หรือนั่งครึ่งก้น เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็ง ไม่สมดุล
* การยืนโดยทิ้งน้ำหนักไปที่เท้าข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว
* การใส่รองเท้าส้นสูงมากๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
* การสะพายกระเป๋าหนัก หรือหิ้วของหนักบ่อยๆ
* นอนตัวเอียง นั่นคือ นอนขดนานๆ

28 มีนาคม 2554

คนแรกที่รักคุณ

เเด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่
เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป... ''
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า ' แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก '
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ

เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไป??ที่ยว
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า ' แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย '
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า ' มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร '
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย '
เมื่อคุณอายุ 25 ปี ( สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า แม่ '
( สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่ '
เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ '
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ '
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป ' ของแม่เท่านั้น
..................

หมายเหตุ : ข้อมูลที่ปรากฎเป็นข้อมูลที่ได้จากการ forword จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ บางส่วนอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยทางวิชาการยืนยัน บางส่วนเกิดจากการเขียนโดยความเห็นของผู้เขียนต้นฉบับเอง ซึ่งทางบันทึกของครูบ้านนอก ขอสงวนสิทธิ์ในความรับผิดชอบของข้อมูลเป็นของผู้เขียนบทความ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้งครับ

27 มีนาคม 2554

อาการของเส้นเลือดอุดตันในสมอง

B lood Clots/Stroke - They Now Have a Fourth Indicator, the Tongue
อาการบ่งชี้ตัวที่ 4 ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง


I will continue to forward this every time it comes around!
ไม่ว่าจะได้รับเมล์นี้อีกกี่ครั้ง ฉันก็จะส่งต่อไป

STROKE: Remember the 1st Three Letters.... S.T.R.
เส้นเลือดอุดตันในสมอง (Stroke) ให้จำไว้ว่า อักษร 3 ตัวแรกคือ S.T.R

My nurse friend sent this and encouraged me to post it and spread the word. I agree.
เพื่อนพยาบาลส่งเมล์นี้มาให้ และสนับสนุนให้ฉันส่งต่อไปอีกเรื่อยๆให้ทั่วโลกเลยยิ่งดี ฉันก็เห็นด้วย

If everyone can remember something this simple, we could save some folks. Seriously..
ถ้าเราสามารถจำสิ่งง่ายๆเหล่านี้ได้ เราจะช่วยชีวิตคนบางคนได้..อันนี้เรื่องจริง

Please read:
STROKE IDENTIFICATION:
อาการบ่งชี้ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง

During a BBQ, a friend stumbled and took a little fall - she assured everyone that she was fine (they offered to call paramedics)

she said she had just tripped over a brick because of her new shoes.
ระหว่างงานเลี้ยงบาร์บีคิว เพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น แต่เธอบอกกับทุกคนว่าเธอไม่เป็นไร (เพื่อนๆถามว่าจะให้เรียกแพทย์เคลื่อนที่มั้ย) เธอบอกว่าเธอแค่สะดุดก้อนหินเพราะยังไม่ชินที่ใส่รองเท้าคู่ใหม่มา

They got her cleaned up and got her a new plate of food. While she appeared a bit shaken up, Ingrid went about enjoying
herself the rest of the evening
ทุกคนช่วยกันปัดเศษสกปรกออกไปจากตัวเธอและไปตักอาหารมาให้ใหม่ ตัว Ingrid เองหลังจากนั้นรู้สึกว่าจะมีอาการสั่นเล็กน้อย แต่ก็สนุกสนานดีตลอดเย็นวันนั้น

Ingrid's husband called later telling everyone that his wife had been taken to the hospital - (at 6:00 pm Ingrid passed away.) She had suffered a stroke at the BBQ. Had they known how to identify the signs of a stroke, perhaps Ingrid would be with us today. Some don't die. they end up in a helpless, hopeless condition instead.
หลังจากนั้น สามีของ Ingrid โทรหาเพื่อนๆทุกคนว่า ภรรยาเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล (และเสียชีวิตในเวลา 6 นาฬิกา) เธอมีอาการของเส้นเลืดอุดตันในสมองตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงบาร์บีคิวแล้ว ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอมีอาการนี้เสียตั้งแต่แรก บางที Ingrid อาจจะยังอยู่กับพวกเราในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ไม่เสียชีวิต แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวังและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

It only takes a minute to read this...
ใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

A neurologist says that if he can get to a stroke victim within 3 hours he can totally reverse the effects of a stroke... totally . He said the trick was getting a stroke recognized, diagnosed, and then getting the patient medically cared for within 3 hours, which is tough.
แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าววา ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัวผู้ป่วยเส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้องทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การรักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้นเป็นไปได้ยากอยู่

RECOGNIZING A STROKE
ต้องรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน

Thank God for the sense to remember the '3' steps, STR . Read and Learn!
ขอบคุณพระเจ้าที่หาวิธีจำง่ายๆมาให้ STR

Sometimes symptoms of a stroke are difficult to identify. Unfortunately, the lack of awareness spells disaster.
The stroke victim may suffer severe brain damage when people nearby fail to recognize the symptoms of a stroke.
บางครั้งอาการของโรคเส้นเลือดสมองอุดตันก็เป็นการยากที่จะรู้กันได้ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การไม่รู้อาจหมายถึงหายนะได้ สมองผู้ป่วยอาจจะโดนทำลายอย่างรุนแรง แต่คนรอบข้างไม่ได้รู้เลยว่านี่คืออาการของเส้นเลือดสมองอุดตัน

Now doctors say a bystander can recognize a stroke by asking three simple questions:
หมอบอกว่า คนที่ยืนอยู่รอบข้างก็สามารถรู้อาการได้ โดยคำถาม 3 ข้อ ดังนี้

S *Ask the individual to SMILE.
S คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม

T *Ask the person to TALK and SPEAK A SIMPLE SENTENCE (Coherently)
(i.e.. It is sunny out today.)
T คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะเป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ

R *Ask him or her to RAISE BOTH ARMS.
R คือบอกให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้น

If he or she has trouble with ANY ONE of these tasks, call emergency number immediately and describe the symptoms to the dispatcher.
ถ้าผู้ป่วยมีความลำบากในการทำข้อใดข้อหนึง ให้โทร.หาเบอร์ฉุกเฉินทันทีและแจ้งไปว่าผู้ป่วยมีอาการอย่างไร

New Sign of a Stroke -------- Stick out Your Tongue
สัญญาณใหม่ของเส้นเลือดสมองอุดตัน -- แลบลิ้นออกมาดู
NOTE: Another 'sign' of a stroke is this: Ask the person to 'stick' out his tongue.. If the tongue is 'crooked', if it goes to one side or the other, that is also an indication of a stroke.
หมายเหตุ : สัญญาณอีกประการหนึ่งก็คือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา หากลิ้นมีลักษณะม้วนงอ ตกไปด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือข้อบ่งชี้ว่ามีอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน


หมายเหตุ : ข้อมูลที่ปรากฎเป็นข้อมูลที่ได้จากการ forword จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ บางส่วนอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยทางวิชาการยืนยัน บางส่วนเกิดจากการเขียนโดยความเห็นของผู้เขียนต้นฉบับเอง ซึ่งทางบันทึกของครูบ้านนอก ขอสงวนสิทธิ์ในความรับผิดชอบของข้อมูลเป็นของผู้เขียนบทความ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้งครับ

26 มีนาคม 2554

รับพระราชทานปริญญาบัตร ครุศาสตรมหาบัณฑิต

วันนี้เป็นวันสำคัญ
เป็นวันที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม



ดีใจ ภูมิใจมาก ที่มีวันนี้ จนได้
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ