แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สาระ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สาระ แสดงบทความทั้งหมด

29 มีนาคม 2554

นั่งหน้าคอมพ์นานๆ ปวดต้นคอ-สายตาล้า คุณอาจเป็นโรค“ออฟฟิศซินโดรม”

นั่งหน้าคอมพ์นานๆ ปวดต้นคอ-สายตาล้า คุณอาจเป็นโรค“ออฟฟิศซินโดรม”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

By Lady Manager

หลายคนคงคุ้นหูกันบ้างแล้วกับ ออฟฟิศ ซินโดรม (Office Syndrome) หรือโรคที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ที่สาวออฟฟิศหลายคนฟังแล้วเริ่มหวั่นใจว่า ตัวเองมีภาวะเสี่ยงแค่ไหน ..ก็แหม แค่ชื่อโรคที่มีคำว่า “ ออฟฟิศ” เข้าไปเกี่ยวซะแล้ว จะให้ไม่หวั่นใจได้ยังไง!?




ในเมื่อเจ้าโรคชื่อแปลก ทำให้สาวๆ หวั่นใจได้ขนาดนี้ เราจึงติดต่อไปยัง นายแพทย์จตุพร โชติกวณิชย์ แห่งภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปีดิคส์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อให้ข้อมูลชัดๆ ว่า ออฟฟิศ ซินโดรมคือโรคที่มีลักษณะอาการอย่างไร สาวเวิร์คกิ้งวูเมน (working women) อย่างเราๆ มีความเสี่ยงสูงแค่ไหนที่จะเป็น ไปจนถึงจะมีวิธีการป้องกันไม่ให้โรคนี้เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเรา

“ออฟฟิศ ซินโดรม คือกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากการทำงานหนัก ทั้งอาการปวดหลัง, ปวดไหล่, ปวดมือ, ล้าสายตา, ปวดหัว ฯลฯ กล่าวคือ ภาวะการเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำงานหนัก หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Over Use หมายถึง ทำงานมาก..ไม่สมดุลในชีวิต จะถูกเรียกว่า กลุ่มอาการของออฟฟิศ ซินโดรม ทั้งหมด”

อาจารย์หมอจตุพรอธิบายยาวว่า กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม พบมากในคนอายุ 25-40 ขึ้นไป โดยเป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบว่าส่วนใหญ่เกิดจากการนั่งใช้คอมพิวเตอร์ทำงานนานๆ แล้วไม่ได้ขยับตัว หรือยืดเส้น ยืดสาย เพื่อบริหารร่างกาย สำหรับอาการออฟฟิศ ซินโดรม ที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทำงานบ้านเรา คือ กลุ่มอาการต่อไปนี้

ปวดหัวไหล่-ปวดหลัง เกิดจากการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยบริเวณสะบักหัวไหล่ทั้ง 2 ข้าง เหมือนมีคนเอามือมากดแรงๆ ที่หัวไหล่ลามไปจนถึงปวดหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเกิดอาการล้าจากการใช้งานหนัก

วิธีป้องกัน ควรเลือกเก้าอี้ที่ปรับขึ้นลงได้ และควรมีพนักพิงที่สามารถรองรับศีรษะได้ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกเกร็งเวลานั่งทำงาน และปรับเปลี่ยนอิริยาบถทุก 1-2 ชม. ไม่นั่งติดต่อในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ หรือทุก 2 – 3 ชั่วโมง ควรลุกขึ้นยืดเส้น เปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบ้าง





ปวดตา-ปวดศีรษะ เกิดจากการที่ต้องจ้องที่จอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อตาเกร็งจนเกิดอาการล้า ตาแห้ง น้ำตาไหลระคายเคืองตา ตามัว ปวดตา และอาจลุกลามไปถึงการปวดศีรษะ ส่วนในรายที่เป็นโรคไมเกรน (Migraine Headache) หรือโรคปวดศีรษะข้างเดียวอยู่แล้ว อาการปวดก็จะหนักขึ้น

วิธีป้องกัน ควรพักสายตาเป็นระยะ ทุก 20 นาที, หลับตาสักครู่ทุก 1 ชั่วโมง หรือลุกเดินไปทำกิจกรรมอื่นเพื่อพักสายตา รวมถึงควรวางจอภาพคอมพิวเตอร์ให้ต่ำกว่าระดับสายตา 15 องศาเพื่อช่วยลดอาการปวดตาและปวดคอ ส่วนความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรปรับความสว่างให้พอเหมาะ ไม่สว่างจ้าจนเกินไป (ตามทฤษฎีบอกไว้ว่า แสงสว่างของจอคอมพิวเตอร์ มากกว่าความสว่างของสภาพแวดล้อมในห้องสามเท่า) และควรปรับสีของจอให้สบายตา โดยจากผลการวิจัยพบว่าตัวอักษรสีเข้มบนพื้นจอสีอ่อนจะทำให้อ่านได้อย่างสบาย ตา

ปวดข้อมือ เกิดจากภาวะผังผืด ทับเส้นประสาท จะมีอาการจะมีอาการปวดมือ และร้าวขึ้นไปที่แขน รวมทั้งมักมีอาการชาที่นิ้วมือ โดยเฉพาะในเวลานอนหรือเวลาตื่นนอนตอนเช้า หากบางรายมีการการหนักมือจะเริ่มอ่อนแรง ไม่มีแรงกำมือ สาเหตุเกิดจากการใช้งาน และวางตำแหน่งของข้อมือ ในท่าเดียวกันนานๆ โดยเฉพาะเมื่อข้อมืออยู่ในตำแหน่งที่กระดกขึ้น หรือ ‘งอ’ ลงมากๆ เป็นเวลานาน เช่น การพิมพ์ คีย์บอร์ด (key board) คอมพิวเตอร์





วิธีป้องกัน ควรเลือกโต๊ะทำงานให้มีระดับพอดีกับข้อศอก เพื่อที่จะสามารถพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดได้อย่างถนัด รวมถึงที่แป้นคีย์บอร์ด ควรมีที่รองรับข้อมือไม่ให้ข้อมือกระดกบ่อยๆ และควรจัดสภาพโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อความสะดวกในการหยิบจับสิ่งของต่างๆ โดยไม่เมื่อย

“สำหรับคนที่ป้องกันไม่ทัน และเกิดภาวะโรคนี้ขึ้นมาแล้ว วิธีการรักษารักษาระยะสั้นจะเป็นไปตามอาการคือ หากปวดเมื่อยก็ให้ยาบรรเทาอาการปวด เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายเส้น ยาแก้อักเสบ แพทย์ทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู จะแนะนำให้ทำกายภาพบำบัด แต่การรักษาแบบนี้ก็เป็นเพียงการบรรเทาอาการเท่านั้น โรคนี้จะไม่หายขาดตราบใดที่เรายังใช้งานร่างกายอย่างหนัก”

อาจารย์หมอหน้าละอ่อนกล่าวว่า วิธีที่จะช่วยรักษาได้ระยะยาว

“คือ การเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อดูแลสุขภาพให้แข็งแรง จัดองค์ประกอบโต๊ะ- เก้าอี้ และนั่งในท่าที่เหมาะสม” ดังที่แนะนำไว้ข้างต้น พร้อมกันนี้อาจารย์หมอใจดี กำชับว่า

“สิ่งสำคัญของการป้องกันโรคออฟฟิศ ซินโดรม อีกอย่างคือ การเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง ให้เป็นคนไม่เครียด และมองโลกในแง่ดีเสมอ เพราะแม้จะยังไม่มีผลงานวิจัยรายงานที่แน่นอน แต่จากการทำงานรักษาผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม มากว่า 20 ปี พบว่าคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ค่อนข้างเครียด มองโลกในแง่ร้าย หรือมีปัญหาที่ทำงาน ปัญหาทางบ้าน แทบทั้งสิ้น ซึ่งความเครียดไม่ได้ส่งผลแค่กับโรคนี้เท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งโรคร้ายอีกหลายโรค”

เตือน! อิริยาบถที่เสี่ยงเกิดโรคในกลุ่มออฟฟิศ ซินโดรม

* นั่งไขว้ห้าง เป็นระยะเวลานานๆ
* นั่งกอดอกนานๆ เพราะจะทำให้ปวดที่หัวไหล่ได้
* การนั่งหลังค่อม
* นั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้น หรือนั่งครึ่งก้น เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็ง ไม่สมดุล
* การยืนโดยทิ้งน้ำหนักไปที่เท้าข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว
* การใส่รองเท้าส้นสูงมากๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
* การสะพายกระเป๋าหนัก หรือหิ้วของหนักบ่อยๆ
* นอนตัวเอียง นั่นคือ นอนขดนานๆ

28 มีนาคม 2554

คนแรกที่รักคุณ

เเด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่
เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป... ''
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า ' แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก '
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ

เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไป??ที่ยว
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า ' แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย '
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า ' มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร '
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย '
เมื่อคุณอายุ 25 ปี ( สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า แม่ '
( สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่ '
เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ '
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ '
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป ' ของแม่เท่านั้น
..................

หมายเหตุ : ข้อมูลที่ปรากฎเป็นข้อมูลที่ได้จากการ forword จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ บางส่วนอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยทางวิชาการยืนยัน บางส่วนเกิดจากการเขียนโดยความเห็นของผู้เขียนต้นฉบับเอง ซึ่งทางบันทึกของครูบ้านนอก ขอสงวนสิทธิ์ในความรับผิดชอบของข้อมูลเป็นของผู้เขียนบทความ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้งครับ

27 มีนาคม 2554

อาการของเส้นเลือดอุดตันในสมอง

B lood Clots/Stroke - They Now Have a Fourth Indicator, the Tongue
อาการบ่งชี้ตัวที่ 4 ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง


I will continue to forward this every time it comes around!
ไม่ว่าจะได้รับเมล์นี้อีกกี่ครั้ง ฉันก็จะส่งต่อไป

STROKE: Remember the 1st Three Letters.... S.T.R.
เส้นเลือดอุดตันในสมอง (Stroke) ให้จำไว้ว่า อักษร 3 ตัวแรกคือ S.T.R

My nurse friend sent this and encouraged me to post it and spread the word. I agree.
เพื่อนพยาบาลส่งเมล์นี้มาให้ และสนับสนุนให้ฉันส่งต่อไปอีกเรื่อยๆให้ทั่วโลกเลยยิ่งดี ฉันก็เห็นด้วย

If everyone can remember something this simple, we could save some folks. Seriously..
ถ้าเราสามารถจำสิ่งง่ายๆเหล่านี้ได้ เราจะช่วยชีวิตคนบางคนได้..อันนี้เรื่องจริง

Please read:
STROKE IDENTIFICATION:
อาการบ่งชี้ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง

During a BBQ, a friend stumbled and took a little fall - she assured everyone that she was fine (they offered to call paramedics)

she said she had just tripped over a brick because of her new shoes.
ระหว่างงานเลี้ยงบาร์บีคิว เพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น แต่เธอบอกกับทุกคนว่าเธอไม่เป็นไร (เพื่อนๆถามว่าจะให้เรียกแพทย์เคลื่อนที่มั้ย) เธอบอกว่าเธอแค่สะดุดก้อนหินเพราะยังไม่ชินที่ใส่รองเท้าคู่ใหม่มา

They got her cleaned up and got her a new plate of food. While she appeared a bit shaken up, Ingrid went about enjoying
herself the rest of the evening
ทุกคนช่วยกันปัดเศษสกปรกออกไปจากตัวเธอและไปตักอาหารมาให้ใหม่ ตัว Ingrid เองหลังจากนั้นรู้สึกว่าจะมีอาการสั่นเล็กน้อย แต่ก็สนุกสนานดีตลอดเย็นวันนั้น

Ingrid's husband called later telling everyone that his wife had been taken to the hospital - (at 6:00 pm Ingrid passed away.) She had suffered a stroke at the BBQ. Had they known how to identify the signs of a stroke, perhaps Ingrid would be with us today. Some don't die. they end up in a helpless, hopeless condition instead.
หลังจากนั้น สามีของ Ingrid โทรหาเพื่อนๆทุกคนว่า ภรรยาเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล (และเสียชีวิตในเวลา 6 นาฬิกา) เธอมีอาการของเส้นเลืดอุดตันในสมองตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงบาร์บีคิวแล้ว ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอมีอาการนี้เสียตั้งแต่แรก บางที Ingrid อาจจะยังอยู่กับพวกเราในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ไม่เสียชีวิต แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวังและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

It only takes a minute to read this...
ใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

A neurologist says that if he can get to a stroke victim within 3 hours he can totally reverse the effects of a stroke... totally . He said the trick was getting a stroke recognized, diagnosed, and then getting the patient medically cared for within 3 hours, which is tough.
แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าววา ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัวผู้ป่วยเส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้องทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การรักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้นเป็นไปได้ยากอยู่

RECOGNIZING A STROKE
ต้องรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน

Thank God for the sense to remember the '3' steps, STR . Read and Learn!
ขอบคุณพระเจ้าที่หาวิธีจำง่ายๆมาให้ STR

Sometimes symptoms of a stroke are difficult to identify. Unfortunately, the lack of awareness spells disaster.
The stroke victim may suffer severe brain damage when people nearby fail to recognize the symptoms of a stroke.
บางครั้งอาการของโรคเส้นเลือดสมองอุดตันก็เป็นการยากที่จะรู้กันได้ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การไม่รู้อาจหมายถึงหายนะได้ สมองผู้ป่วยอาจจะโดนทำลายอย่างรุนแรง แต่คนรอบข้างไม่ได้รู้เลยว่านี่คืออาการของเส้นเลือดสมองอุดตัน

Now doctors say a bystander can recognize a stroke by asking three simple questions:
หมอบอกว่า คนที่ยืนอยู่รอบข้างก็สามารถรู้อาการได้ โดยคำถาม 3 ข้อ ดังนี้

S *Ask the individual to SMILE.
S คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม

T *Ask the person to TALK and SPEAK A SIMPLE SENTENCE (Coherently)
(i.e.. It is sunny out today.)
T คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะเป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ

R *Ask him or her to RAISE BOTH ARMS.
R คือบอกให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้น

If he or she has trouble with ANY ONE of these tasks, call emergency number immediately and describe the symptoms to the dispatcher.
ถ้าผู้ป่วยมีความลำบากในการทำข้อใดข้อหนึง ให้โทร.หาเบอร์ฉุกเฉินทันทีและแจ้งไปว่าผู้ป่วยมีอาการอย่างไร

New Sign of a Stroke -------- Stick out Your Tongue
สัญญาณใหม่ของเส้นเลือดสมองอุดตัน -- แลบลิ้นออกมาดู
NOTE: Another 'sign' of a stroke is this: Ask the person to 'stick' out his tongue.. If the tongue is 'crooked', if it goes to one side or the other, that is also an indication of a stroke.
หมายเหตุ : สัญญาณอีกประการหนึ่งก็คือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา หากลิ้นมีลักษณะม้วนงอ ตกไปด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือข้อบ่งชี้ว่ามีอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน


หมายเหตุ : ข้อมูลที่ปรากฎเป็นข้อมูลที่ได้จากการ forword จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ บางส่วนอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยทางวิชาการยืนยัน บางส่วนเกิดจากการเขียนโดยความเห็นของผู้เขียนต้นฉบับเอง ซึ่งทางบันทึกของครูบ้านนอก ขอสงวนสิทธิ์ในความรับผิดชอบของข้อมูลเป็นของผู้เขียนบทความ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้งครับ

09 กุมภาพันธ์ 2554

มากมารยาท

มากมารยาท นิทานเซ็น
《惭愧的高僧》

ยังมีอุบาสกวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ไปกราบนมัสการพระผู้มีสมณศักดิ์สูงยังวัดแห่งหนึ่ง ทั้งสองสนทนาธรรมกันอย่างออกรส ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวัน เณรจึงได้จัดอาหารมาให้ทั้งสอง เป็นบะหมี่ชามใหญ่ 1 ชามและชามเล็ก 1 ชาม

เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นสำรับกับข้าวที่เณรยกมา จึงได้ยกบะหมี่ชามใหญ่ยื่นให้อุบาสกผู้นั้น ทั้งยังกล่าวว่า "ท่านรับประทานชามใหญ่เถอะ"

หากยึดตามธรรมเนียมปฏิบัติ อุบาสกผู้นั้นควรที่จะปฏิเสธและผลักไสบะหมี่ชามใหญ่กลับคืนไปยังพระสงฆ์ เพื่อแสดงความเคารพเกรงใจ ทว่าอุบาสกผู้นี้กลับรับชามบะหมี่มาโดยไม่อิดเอื้อน จากนั้นลงมือรับประทานทันที เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจจนหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางคิดว่า "แรกทีเดียวคิดว่าคนผู้นี้มีสติปัญญาไม่น้อย ไฉนกลับกลายเป็นโง่เขลาไร้มารยาทเช่นนี้"

เมื่ออุบาสกรับประทานบะหมี่หมดชาม เงยหน้าขึ้นมาพบว่าพระรูปนั้นยังไม่ได้แตะต้องบะหมี่ชามเล็กแม้แต่น้อย ทั้งยังมีสีหน้าเย็นชา จึงยิ้มพลางเอ่ยถามว่า "พระคุณเจ้าไฉนไม่รับประทานบะหมี่?"

พระผู้มีสมณศักดิ์สูงเงียบงันไม่ตอบ อุบาสกจึงยิ้มและกล่าวต่อไปว่า "กระผมรู้สึกหิวยิ่งนัก จึงสนใจแต่ปากท้องของตนเองโดยลืมเลือนพระคุณเจ้าไป แต่หากจะให้กระผมผลักไสบะหมี่ชามใหญ่ที่พระคุณเจ้าหยิบยื่นมาให้กระผมกลับคืนไปยังพระคุณเจ้าอีก นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของกระผม และในเมื่อไม่ได้ตั้งใจ จะต้องเสแสร้งแกล้งทำไปเพื่ออันใดเล่า ขอถามพระคุณเจ้าว่าการเกี่ยงกันด้วยความเกรงใจไปมานั้นที่แท้แล้วจุดมุ่งหมายคืออะไร?"

พระผู้มีสมณศักดิ์สูงตอบว่า "เพื่อรับประทาน"

อุบาสกจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า "ในเมื่อจุดประสงค์คือเพื่อรับประทาน ท่านรับประทานหรือกระผมรับประทานก็ล้วนไม่ต่างกัน หรือว่าที่พระคุณเจ้าชิงมอบบะหมี่ชามใหญ่ให้กระผมนั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง มิใช่น้ำใสใจจริง?"

เมื่ออุบาสกกล่าวจบ พระผู้มีสมณศักดิ์สูงจึงได้รู้แจ้งกระจ่างใจ กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมา

ปัญญาเซน : การแสดงความเกรงใจที่มากเกินไปกลับกลายเป็นความเสแสร้ง การเคร่งครัดมารยาท มากพิธีจนเกินงามกลับกลายเป็นสิ่งไร้สาระ ทั้งนี้เพราะความซื่อสัตย์เปิดเผยจริงใจต่างหากจึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการเป็นมนุษย์

ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X

08 กุมภาพันธ์ 2554

ค่าของคน

ค่าของคน
《圆满报身》

ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง เฝ้าพร่ำถามอาจารย์เซนทุกวันว่า “สิ่งใดคือคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา?”

วันหนึ่ง อาจารย์เซนเดินออกมาจากห้องพร้อมกับก้อนหินหนึ่งก้อน จากนั้นเอ่ยกับศิษย์เจ้าปัญหาว่า “เจ้าจงเอาก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังท้องตลาด แต่ไม่จำเป็นต้องขายออกไปจริงๆ เพียงแค่ทำให้มีผู้มาเสนอราคาขอซื้อก็เพียงพอแล้ว ลองดูสิว่าตลาดจะให้ราคาของก้อนหินก้อนนี้เท่าไหร่”

ศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายยังท้องตลาด มีคนเห็นว่าหินก้อนนี้ทั้งใหญ่และเรียบสวย จึงให้ราคา 2 ตำลึง อีกผู้หนึ่งเห็นว่าหินก้อนนี้น่าจะนำไปทำเป็นลูกกลิ้งหรือลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักได้อย่างดี จึงให้ราคาถึง 10 ตำลึง หลังจากนั้น แม้ว่าจะมีผู้แวะเวียนเข้ามาชมดูก้อนหินมากมาย แต่ราคาที่สูงสุดที่ได้จากท้องตลาดคือ 10 ตำลึง

เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินกลับมายังวัด ก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ตนเร่ขายก้อนหินธรรมดาๆ จนได้ราคาถึง 10 ตำลึงให้อาจารย์ฟังด้วยความยินดียิ่ง

เมื่อฟังจบ อาจารย์เซนเพียงแต่กล่าวว่า “เจ้าจงนำหินก้อนนี้ไปเร่ขายอีกครั้ง ยังตลาดค้าทอง”

ศิษย์เซนจึงเดินทางไปยังตลาดค้าทอง จากนั้นนำก้อนหินออกมาเร่ขาย คราวนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีผู้เสนอราคาก้อนหินถึง 1 พันตำลึง จากนั้นราคาก็ขึ้นมาเป็น 1 หมื่นตำลึง และสุดท้ายจบลงที่ราคา สิบหมื่นตำลึง

เมื่อศิษย์เซนเห็นผลลัพธ์เกินความคาดหมายถึงเพียงนั้น จึงรีบกลับมารายงานอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนเพียงกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังตลาดค้าเพชรพลอย ซึ่งเป็นตลาดระดับสูงที่สุดดู”

เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายตามคำสั่งของอาจารย์ พบว่าราคาของก้อนหินขึ้นพรวดพราดไปเรื่อยๆ จากสิบหมื่นตำลึง ยี่สิบหมื่นตำลึง สามสิบหมื่นตำลึง จนกระทั่งมีผู้เข้าใจว่าที่ศิษย์เซนยังไม่ยอมตกลงใจขายก้อนหินเป็นเพราะยังไม่ได้ราคาเหมาะสม จึงเสนอให้ตั้งราคาขึ้นมาเองตามใจชอบอย่างไม่อั้นได้เลยว่าจะขายที่ราคาเท่าไหร่ ศิษย์เซนได้แต่อธิบายต่อผู้คนที่สนใจซื้อก้อนหินว่าตนทำตามคำสั่งอาจารย์ มิอาจขายก้อนหินออกไปจริงๆ ได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับวัด พร้อมทั้งบอกอาจารย์เซนว่า "ตอนนี้ราคาของก้อนหินพุ่งขึ้นไปถึงหลักสิบหมื่นตำลึงแล้ว”

เมื่ออาจารย์เซนฟังจบ จึงกล่าวว่า “นั่นก็ใช่แล้ว ที่ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ว่าชีวิตมีคุณค่าเพียงใด ก็เพราะนั่นจะเป็นการตีราคาชีวิตของเจ้าโดยผ่านมุมมองภายนอกไม่ต่างจากการตีราคาก้อนหิน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วคุณค่าของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องกระจ่างอยู่ภายในจิตใจของคนผู้นั้นเอง จงมีสายตาแหลมคมดั่งนักค้าเพชรพลอยเสียก่อน จึงจะสามารถเห็นซึ้งถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา”

ปัญญาเซน : มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง จงตระหนักในคุณค่าแห่งตน ยอมรับตนเอง ฝึกฝนตนเอง ให้ช่องว่างกับตัวเองได้เติบโต ทุกคนล้วนสามารถกลายเป็นสิ่งมีค่าอันประเมินมิได้ ทุกขวากหนาม ทุกความเจ็บปวด ทุกความพ่ายแพ้ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างยิ่งต่อชีวิตของคนเรา

ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

29 มกราคม 2554

เคล็ดลับแก้นิสัยขี้ลืม

ใครที่มีนิสัยขี้ลืมอยู่เป็นประจำ แก้ยังไงก็ไม่หาย วันนี้เมีเคล็ดลับแก้นิสัยขี้ลืมมาบอก

- ตั้งสมาธิ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลงลืมบ่อยเพราะไม่มีสมาธิ ควรจัดเวลาช่วงหนึ่งงดรับโทรศัพท์และ หาเวลานั่งเงียบๆ หลับตา หายใจเข้าช้าๆ เพื่อให้เกิดความสงบ

- ควรโน้ตสั้นๆ ว่าจะทำอะไรต่อไป ส่วนที่ชอบลืมแล้วลืมอีกควรจดโน๊ตต่างๆ เพื่อช่วยเตือนความจำอีกที

- ใส่ใจ การที่ลืมอะไรบ่อยๆ อาจเป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้น ถ้าใครพู[คำไม่พึงประสงค์]อะไรด้วยแล้วลืม หรือจำชื่อคนไม่ค่อยได้ ลองหันมาสนใจตั้งใจฟังสักนิด

- พูดออกเสียง การจดจำเรื่องต่างๆ จากการฟัง และการพูดออกมาทำให้ได้ยินเสียงของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้จำง่ายขึ้น

- พูดคุยหรือเล่าให้คนอื่นฟัง ก็เป็นการช่วยจำทางหนึ่ง และการเล่าให้คนอื่นฟังรู้เรื่อง ตัวเราเองต้องเข้าใจเรื่องนั้น
อย่างดีและจำได้ดี ถ้าอยากจำเรื่องที่ประชุม สัมมนา หรืออบรมได้ดีขึ้นลองพูดคุยหรือเล่าให้เพื่อนฟัง ถ้าอยากมีความจำที่ดีขึ้น ก็ลองนำเคล็ดลับนี้ไปใช้กันดูได้.

ที่มา เดลินิวส์

24 มกราคม 2554

กฎของมาสโลว์

ทฤษฎีการจูงใจ หรือ ทฤษฎีของมาสโลว์
ทฤษฎีเกี่ยวกับการจูงใจ (Theories of motivation) มีมากมาย แต่ในที่นี้จะนำมากล่าวเพียงบางทฤษฎีที่ผู้บริหารการตลาดควรทราบ เพื่อจะได้เข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคดีขึ้น และเพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการดำเนินงานการตลาด


1. ทฤษฎีการจูงใจของมาสโลว์
ทฤษฎีการจูงใจที่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางมากทฤษฎีหนึ่ง คือ “ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์” (Maslow’s hierarchy of needs) ทฤษฎีของมาสโลว์ ยึดถือข้อสมมติฐาน 4 ประการดังนี้ (Maslow, quoted in Hawkins, Best and Coney. 1998:367)

  • 1.1 มนุษย์ทุกคนมีรูปแบบการรับแรงจูงใจคล้ายคลึงกัน โดยผ่านมาจากแหล่งกำเนิดภายในร่างกาย และจากการปฏิกิริยาสัมพันธ์ทางสังคม (social interaction)
  • 1.2 แรงจูงใจบางอย่างมีความจำเป็นขั้นพื้นฐานและสำคัญมากกว่าแรงจูงใจอย่างอื่น
  • 1.3 แรงจูงใจที่มีความจำเป็นขั้นพื้นฐานมากกว่า จำเป็นจะต้องได้รับการตอบสนองให้ได้รับความพอใจก่อนจนถึงระดับเป็นแรงจูงใจน้อยที่สุด ก่อนที่แรงจูงใจทางด้านอื่นจะได้รับแรงกระตุ้น
  • 1.4 เมื่อแรงจูงใจขั้นพื้นฐานได้รับการตอบสนองจนได้รับความพอใจแล้ว แรงจูงใจขั้นที่สูงกว่าก็จะเกิดขึ้นเข้ามาแทนที่
    มาสโลว์ได้จัดลำดับขั้นความต้องการขอมนุษย์ออกเป็น 5 ประเภท 5 ระดับ ดังนี้คือ (Maslow, quoted in Hoyer and MacInnis. 1997:39)

ระดับที่ 1 ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological needs) ได้แก่ ความต้องการขั้นพื้นฐานเบื้องต้น อันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการดำรงชีพของมนุษย์ ได้แก่ อาหาร น้ำ อากาศ การพักผ่อนหลับนอน และความต้องการทางเพศ เป็นต้น ความต้องการเหล่านี้จะต้องได้รับการตอบสนองจนเป็นที่พอใจก่อนความต้องการในระดับสูงขึ้นจึงจะเกิดขึ้น

ระดับที่ 2 ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs) เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นภายหลังจากความต้องการในระดับที่ 1 ได้รับการตอบสนองจนเป็นที่พอใจแล้วและมีความรู้สึกอิสระไม่ต้องเป็นห่วงกังวลกับความต้องการทางด้านร่างกายอีกต่อไป ความต้องการความปลอดภัยจึงเกิดขึ้น ความต้องการนี้จะเห็นได้ชัดในเด็กเล็ก ซึ่งต้องการความอบอุ่นปลอดภัยจากพ่อแม่ ซึ่งสอดคล้องตามลักษณะ “ความต้องการหลีกเลี่ยงอันตราย” (harmavoidance need) ของเมอร์เรย์ ซึ่งจะได้กล่าวในตอนหลัง นักการตลาดใช้ความกลัวเป็นสิ่งดึงดูดใจ (fear appeal) ในการโฆษณาโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความกลัวในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ หรืออันตรายที่จะเกิดขึ้น หากไม่ซื้อผลิตภัณฑ์บางอย่างไปใช้ก็สอดคล้องกับแนวความคิดต้องการความปลอดภัย และต้องการหลีกเลี่ยงอันตรายดังกล่าว เช่นการขู่ให้ผู้บริโภคกลัวว่า เงินเฟ้อจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างมาก ก็จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้บริโภครีบซื้อสินค้าทันที เป็นต้น (Onkvisit and Shaw. 1994:42)

ระดับที่ 3 ความต้องการทางสังคม (Social needs) บางครั้งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ความต้องการความรักและการเป็นเจ้าของ” (love and belongingness) เป็นความต้องการที่จะมีความรักความผูกพันกับผู้อื่น เช่น ความรักจากเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว หรือคนรัก เป็นต้น ซึ่งความรักดังกล่าวนี้มีความหมายรวมถึงทั้งการให้และการรับความรักด้วย ซึ่งความต้องการดังกล่าวนี้ เมอร์เรย์ เรียกว่า “ความต้องการความรักความผูกพัน” (affiliation need) (Onkvisit and Shaw. 1994:42)

ระดับที่ 4 ความต้องการมีเกียรติยศมีศักดิ์ศรีในสังคม (esteem needs หรือ egoistic needs) เป็นความต้องการที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของตนเองว่าตนเองมีประโยชน์มีคุณค่า และต้องการให้ผู้อื่นเห็นคุณค่าของตน ยอมรับนับถือยกย่องตนว่าเป็นผู้มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ และมีศักดิ์ศรีด้วย ซึ่งความต้องการดังกล่าวนี้ มีลักษณะเหมือนกับ “ความต้องการประสบความสำเร็จ” (achievement need) ของเมอร์เรย์ นั่นเอง
ระดับที่ 5 ความต้องการสมหวังในชีวิต (self-actualization หรือ self-fulfillment needs) เป็นความต้องการขั้นสูงสุดที่บุคคลปรารถนาที่จะได้รับผลสำเร็จในสิ่งที่ตนคิด และตั้งความหวังไว้ ซึ่งแต่ละคนต่างตั้งความมุ่งหวังของตนเองไว้แตกต่างกัน จึงยากที่จะให้คำนิยามได้ แต่หากจะกล่าวง่ายๆ ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ความต้องการนี้เป็นความต้องการที่ตนอยากจะให้ตนเองเป็นในชีวิต เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งความหวังไว้
ความต้องการทั้ง 5 ระดับ อาจจำแนกออกได้เป็น 2 ขั้น เพื่อให้มองเห็นความแตกต่างของความต้องการที่ง่ายขึ้น คือ (Robbins. 1996:214)
1. ความต้องการขั้นต่ำ (Lower – order needs) เป็นความต้องการที่จะต้องได้รับการตอบสนองก่อนเพื่อให้เกิดความพอใจภายนอก ได้แก่ ความต้องการทางด้านร่างกาย และความต้องการความปลอดภัย
2. ความต้องการขั้นสูง (Higher – order needs) เป็นความต้องการที่จะได้รับการตอบสนองทีหลังเพื่อก่อให้เกิดความพอใจภายใน ได้แก่ ความต้องการด้านสังคม ความต้องการมีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรีในสังคม และความต้องการความสมหวังในชีวิต



อ้างอิง
http://mkpayap.payap.ac.th/course/mk210/f3.3.htm

ขอบคุณครับ
http://www.seal2thai.org/ http://www.champ108.com/

13 ธันวาคม 2553

Nokia X3 Touch and Type


Nokia X3 Touch and Type สมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัสรูปทรงแท่ง มากับปุ่มกด Keypad ด้านล่าง วัสดุมีความคงทน, แข็งแรง พร้อมรองรับความบันเทิงมากมายทั้ง การแชท, เล่นอินเตอร์เน็ต ผ่าน 3G/WiFi ใช้งานดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นวิทยุ มีกล้องดิจิตอลความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมกล้องวิดีโอึความละเอียด VGA ...



Look & Design






Nokia X3 Touch and Type สมาร์ทโฟนรูปทรงแท่ง พร้อมระบบหน้าจอสัมผัส วัดขนาดตัวเครื่องได้ความสูง 106.2 มิลลิเมตร กว้าง 48.4 มิลลิเมตร หนา 9.6 มิลลิเมตร ชั่งน้ำหนักรวมแบตเตอรี่ได้ 78 กรัม






จอสัมผัส TFT-LCD 262,000 สี แสดงผลความละเอียด 240 x 320 พิกเซล วัดความกว้างได้ 6.2 เซนติเมตร (2.4 นิ้ว) ถัดลงมาเป็นปุ่ม โทรออก, ปุ่มลัดข้อความ, ปุ่มลัดวิทยุ ปุ่มวางสาย/ปิดเครื่อง, แผงปุ่มตัวเลข และรูไมโครโฟนอยู่ระหว่างเลข 9-0






ด้านขวาส่วนบนเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มล็อกเครื่อง






ด้านบนมีช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, ช่องต่อ USB และ ช่องต่อที่ชาร์จแบตเตอรี่






ด้านล่างเป็นลำโพงเสียง






ด้านหลัง กล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล






ฝาหลังทำมาจาก Alloy ถอดออกได้โดยกดปุ่มล็อกฝาหลังทางซ้าย-ขวาของตัวเครื่องแล้วดึงขึ้นมาตรงๆ เมื่อถอดออกมาจะพบช่องใส่ซิมการ์ด, ช่องใส่การ์ด MicroSD และ แบตเตอรี่ Li-Ion 860 mAh (รหัส BL-4S)









อุปกรณ์ภายในกล่องบรรจุภัณฑ์

* โทรศัพท์มือถือ Nokia X3 Touch and Type

* แบตเตอรี่มาตรฐาน (รหัส BL-4S) 860 mAh

* อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ (AC-8)

* ชุดหูฟังสเตอริโอ (WH-102)

* สานต่อ Micro USB

* คู่มือการใช้งาน Nokia X3 Touch and Type

* คู่มือการใช้งาน Ovi 2 เล่ม

* ใบรับประกันสินค้า






Menu Function



เมนูหลักแสดงผลด้วยรูปภาพไอคอน จัดวางได้ 2 รูปแบบ คือ รายการ และ ตาราง แสดงผลรวม 9 รายการได้แก่






รายชื่ิอ - ชื่อ, เพิ่มใหม่, บันทึก, ซิงค์กับ Ovi, กลุ่ม, โทรด่วน, การตั้งค่า, ลบรายชื่อทั้งหมด, ย้ายรายชื่อ, คัดลอกรายชื่อ



เพลง - เมนูเครื่องเล่นเพลงที่ใช้เข้าไปทั้งเครื่องเล่นเพลง และ วิทยุ



เน็ต - สำหรับเชื่อมต่ออินเตอรืเน็ต



ข้อความ - สร้างข้อความ, การสนทนา, รายการที่ส่ง, ฉบับร่าง, ตั้งค่าอีเมล์, สนทนา, ข้อความอื่น, เก็บถาวร, ลบข้อความ, การตั้งค่าข้อความ, ข้อมูลเสียง, ข้อความข้อมูล



ภาพถ่าย - แบ่งออกเป็น ภาพถ่ายของฉัน, เส้นเวลา, อัลบั้มของฉัน, กล้องวิดีโอ, วิดีโอของฉัน



การตั้งค่า - รูปแบบ, ลักษณะ, แบบเสียง, แสงสว่าง, จอแสดงผล, วันและเวลา, ทางลัดส่วนตัว, ซิงค์และสำรอง, การเชื่อมต่อ, โทรออก, โทรศัพท์, อุปกรณ์เสริม, การตั้งกำหนดค่า, ความปลอดภัย, บัญชี Nokia, ตั้งค่าดั้งเดิม



ร้านค้า Ovi - สำหรับดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของ Ovi



แอปพลิเคชั่น - ปฎิทิน, นาฬิกาปลุก, เครื่องคิดเลข, คลังภาพ, พิเศษ, เครื่องบันทึก, สิ่งที่ต้องทำ, ตัวนับถอยหลัง, นาฬิกา



Menu - ตัวเลือกการใช้งานเครือข่าย


13 กรกฎาคม 2553

เคล็ดลับเสริมดวง

ผ้าเช็ดหน้า
อย่าให้ของขวัญคนรักหรือเพื่อนสนิทเป็นผ้าเช็ดหน้า เพราะถือว่าเป็นลางไม่ดี ถือเป็นของขวัญอับโชค มอบให้กันแล้วจะมีเรื่องต้องพลัดพรากจากกัน หรือมีเรื่องต้องเมินหมางห่างเหินกันไป
กระจก
ขัดถูกระจกในบ้านให้สะอาดใสอยู่เสมอ ถ้าปล่อยให้กระจกขุ่นมัวเป็นประจำ ดวงชะตาของคนในบ้านจะหม่นหมองทำอะไรไม่ขึ้น
เหรียญนำโชค
เมื่อเจอเงินตกอยู่ตามทางเดิน แม้จะเป็นเพียงเหรียญบาทก็ให้เก็บเอาไว้ ให้ถือเสมือนเป็นเหรียญนำโชค การเดินผ่านเลยไป เพราะเห็นว่าเป็นเพียงเหรียญบาท เหรียญสลึงนั้น ถือเป็นการดูถูกเงินทอง ไม่เห็นคุณค่าของเงิน คนเฒ่าคนแก่เชื่อกันว่ามันจะทำให้คุณอับโชคทั้งวัน หรือในช่วง 3 - 7 วันนั้น
แหวนเสริมดวง
เลือกสวมแหวนที่ถูกโฉลกกับเดือนเกิด หรือวันเกิดเพื่อเสริมโชคดีให้ชีวิต ถ้าอยากเสริม ดวงการเงิน - ควรสวมแหวนทอง แหวนเงิน แหวนหยกและแหวนหัวพลอยสีที่ถูกโฉลก ถ้าอยากเสริมดวงความรัก - ให้สวมแหวนรูปหัวใจ รูปดาว เลือกแหวนเพชรหรือเทอร์ควอยส์ก็ได้ ส่วนแหวนลูก ปัดและหินสีต่างๆ - จะช่วยเสริมดวงเสน่ห์
การสวมแหวน
สวมแหวนนิ้วกลางขวา - เสริมดวงการเงินและบารมี , สวมแหวนนิ้วนาง นิ้วก้อย - เสริมเสน่ห์ และเสริมดวงความรัก
ทำบุญโลงศพ
ไป ที่มูลนิธิใกล้บ้าน ทำบุญบริจาคเงิน ร่วมกันซื้อโลงศพให้ศพอนาถาที่ไร้ญาติ การทำบุญโลงศพจะช่วยเสริมดวงชะตาให้กล้าแข็ง เหมาะสำหรับช่วงดวงอ่อน และมีทุกข์มีเคราะห์
พระพรหมศักดิ์สิทธิ์
หาโอกาสไปกราบไหว้พระพรหมสักครั้ง ถ้าอยู่ที่กรุงเทพ ก็ไปไหว้ที่หัวมุมสี่แยกราชประสงค์ โรงแรมเอราวัณก็ได้ หรือที่ศาลพระพรหมแห่งใดก็ได้ทั้งนั้น พระพรหมเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวขวัญกันมากว่า บนบานอธิษฐานขออะไรมักได้ดังปรารถนา ด้วยว่าท่านเป็นเทพแห่งความสำเร็จนั่นเอง
หิ้งพระ
หิ้งพระหรือหิ้งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่ว่า จะเป็นเทพต่างๆ หรือ ร. 5, ในหลวงของเรา เมื่อตั้งหิ้งบูชาแล้วจะต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ หมั่นเปลี่ยนดอกไม้ พวงมาลัย ถวายน้ำสะอาด ถ้าปล่อยให้หิ้งสกปรก มีแต่ฝุ่นจับเต็มไปหมด บ้านนั้นจะมีแต่ความเสื่อมถอย โชคลาภหดหาย ยากที่จะเจริญรุ่งเรือง
ไข่และส้ม
ในบ้านเรือนควรมีไข่และมีส้มไว้ในตะกร้าเสมออย่าให้ขาด เพื่อเรียกความสมบูรณ์พูนสุขเข้าบ้าน ทำให้ชีวิตอยู่ดีมีสุขตลอดไป ไข่และส้มเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความโชคดี
.................
ดินแดนปัญญาชน

12 กรกฎาคม 2553

เคล็ดลับเสริมดวง

กระเป๋าสตางค์
เปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ใบใหม่เสมอในวันขึ้นปีใหม่ ใส่เงินจำนวน 900 หรือ 9,000 ในกระเป๋าไว้สักหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เพื่อเอาเคล็ดเอาฤกษ์เพื่อให้กระเป๋าใบนั้นเป็นกระเป๋าที่ดี เรียกเงินเรียกทองเข้ากระเป๋าได้มาก มีเก็บมากกว่าจะต้องควักออกไป และทุกครั้งที่รับเงินสดเข้ามา ควรนำเงินมาใส่กระเป๋าเอาไว้ก่อน บางคนอาจจะยังคงปล่อยเงินไว้ในซองแล้วก็นำไปฝากธนาคาร ซึ่งถ้าจะเอาเคล็ดเรียกโชคกันจริงๆ ตามความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่ ก็ควรเอาเงินเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ก่อน

พระสิวลี
หาโอกาสไปกราบไหว้พระสีวลีที่วัดใดก็ได้ในท้องที่ที่ อาศัย พระสีวลีเป็นเอตทัคคาโชคลาภ ท่านเป็น 1 ใน 80 ศิษย์เอกของพระพุทธเจ้า เมื่อไปกราบไหว้ขอพรจากพระสีวลี ชีวิตจะมีโชคดีขึ้นและมีความราบรื่นก้าวหน้า มีเงินมีทองเพิ่มพูนมากขึ้น

วันบริสุทธิ์
วันที่ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก คือวันโกน วันพระ วันเกิด และวันเข้าพรรษา ตามธรรมเนียมโบราณนิยมปฏิบัติกันเช่นนี้ เพื่อให้เทวดาคุ้มครองรักษาตลอดไป

ยักษ์และราหู
ไม่ควรมีรูปภาพหรือรูปปั้นยักษ์และราหูประดับตกแต่งใน บ้าน เพราะจะทำให้คนในบ้านทะเลาะเบาะแว้งกัน มีแต่เรื่องร้อนๆ ขาดโชคขาดลาภ พลังของวิญญาณ อย่านำโปสเตอร์ , รูปภาพ , หนังผี , คนบาดเจ็บ จากนิตยสารที่มีแต่ความน่ากลัวมาติดผนังบ้าน หรือรูปคนตายมาติดประดับไว้ที่ห้อง ( ยกเว้นภาพถ่าย บุคคลในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้ว) หลีกเลี่ยงภาพน่ากลัว หรือดูแล้วดุร้าย เพราะล้วนเป็นแหล่งเรียกคลื่นพลังงานที่ไม่เป็นมงคล จะทำให้โชคลาภหดหาย คนในบ้านจะมีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น เกิดอุบัติเหตุ การนำภาพมาติดผนังประดับบ้านควรเลือกภาพที่ดูสวยงาม

เตียงนอน
อย่าตั้งเตียงนอนโดยเอาหัวเตียงหันไปชนกับผนังห้องน้ำ เพราะจะทำให้เสื่อมโชคอับโชค อย่าตั้งเตียงนอนโดยหันปลายเตียงเล็งตรงกับประตูทางเข้าพอดี เพราะจะทำให้ฝันร้ายและอับโชค

สุนัข แมวจรจัด

แบ่งอาหารและน้ำให้แก่สุนัข หรือแมวจรจัดที่หิวโหยบ้าง ในวันฝนตกก็อนุญาตให้สัตว์จรจัดเข้ามาหลบฝนในชายคาบ้าน การทำบุญทำทานกับสัตว์นั้นให้อานิสงส์ผลบุญแก่ตัวเราได้อย่างมหาศาล

ห้องครัว
ดูแลปัดกวาดเช็ดถูและจัดข้าวของเครื่องใช้ในครัวให้สะอาด อยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ครัวสกปรก เพราะครัวเป็นขุมพลังของบ้าน บ้านที่ปล่อยให้ครัวสกปรกจะอับโชค เงินทองหามาได้ก็ต้องจ่ายออกไป เจริญรุ่งเรืองช้านัก

02 กรกฎาคม 2553

ประโยชน์ของการสวดมนต์ (ทางการแพทย์) ตอนจบ

สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ

อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า

“เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตาม วิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น”

และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า

“เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”

นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจาก เสียงต่างๆ เช่น

โอม ...... กระตุ้นหน้าผาก ฮัม ....... กระตุ้นคอ

ยัม ....... กระตุ้นหัวใจ ราม .......กระตุ้นลิ่นปี่

วัม ....... กระตุ้นสะดือ ลัม ....... กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น

แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด

รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ

1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้

1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง

5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน 8. ออทิสติก

9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน

สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ

1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง

เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ

● ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน

● หาสถานที่ที่สงบเงียบ

● สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา

● ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน

2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์

เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้

3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น

ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้

คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ

บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก

การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป

เลือกสวดมนต์อย่างไรดี

แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า

“น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น”

พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย

“ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด”

อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ

Inta : รายงาน

Credit : นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551

12 มิถุนายน 2553

เรื่องใกล้ตัว ทำให้เกิดมะเร็งได้

ได้รับเมล์ฉบับหนึ่งมา แต่ก็ต้องบอกก่อนนะครับ ว่าควรหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนเชื่อนะครับ
ผมเองก็หาข้อมูลอยู่ แต่ถ้าได้ได้อ่านข้อความนี้แล้ว มีข้อเท็จจริงอย่างไร ก็บอกบันทึกของครูบ้านนอกด้วยนะครับ

วันนี้มีเรื่องสำคัญ อยากจะมาเล่าให้สาวๆ ฟังกัน ได้รับเมล์มาฉบับหนึ่งน่าสนใจมากๆ เรื่องก็มีอยู่ว่า
คือ ว่าเมื่อเร็วๆนี้แม่ของเพื่อนฉันได้ตรวจพบมะเร็งที่ทรวงอก ก็ได้ลองทำการหาสาเหตุของมะเร็งที่เกิดขึ้น ก็ลองสันนิฐานกันหลายอย่างจน สุดท้ายเล่าให้คุณหมอฟังว่า ส่วนมากแล้วคุณแม่จะเดินทางบ่อย จึงทำให้ใช้เวลาอยู่ในรถบ่อยๆ และก็ดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่อยู่ในรถบ่อยๆ ซึ่งบางครั้งขวดน้ำที่อยู่ในรถนั้นเก็บไว้ 2-3 วัน มาบ้างแล้ว
คุณหมอก็ได้ให้ความรู้ในเรื่องนี้มา บ้างว่า ผู้หญิงไม่ควรดื่มน้ำจากขวดน้ำพลาสติกที่ทิ้งไว้ในรถ ความร้อนบวกกับพลาสติคจากขวดจะก่อเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่นำไปสู่มะเร็งทรวง อก ได้เพราะฉะนั้นได้โปรดระมัดระวังอย่าดื่มน้ำจากขวดน้ำพลาสติคที่ทิ้งไว้ในรถ จะดีที่สุด อย่างน้อยก็กันไว้ด! ีกว่าแก้นะ
ฝากบอกต่อๆกันไปนะ เผื่อจะเป็นความรู้ดีๆแก่สาวๆหลายคน ให้ดูแลตัวเองกันให้ดีๆขึ้นนะ


ศูนย์ศึกษาโรคมะเร็งจอห์น ฮ็อบกิ้นส์ พบแล้วว่า
สาเหตุ ที่ร่างกายของได้รับสารก่อมะเร็งนั้นสามารถเกิดจาก

1. การดื่ม น้ำ ขวด พลาสติก ที่แช่ในช่องฟรีซในตู้เย็น
2. การใช้ พลาสติกคลุมอาหาร เพื่ออุ่นในเตา ไมโครเวฟ
3. รวมถึงการใช้ ถุงพลาสติคใส่อาหาร เพื่ออุ่นกับเตา ไมโครเวฟ
4. การใช้ วัสดุ โฟม ใส่อาหาร ที่ร้อนและมัน

เนื่องจาก สาร พิษจากพลาสติก สามารถละลายออกแล้วไหลปนเปื้อนกับอาหารที่เรา รับประทานได้
โดยตรง ทำให้เกิดโรคมะเร็งทรวงอก มะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็ง ลำไส้ใหญ่

29 พฤษภาคม 2553

โซนี่ไทยเปิดตัว VAIO P รุ่นใหม่ล่าสุด

โซนี่ไทยเปิดตัว VAIO P รุ่นใหม่ล่าสุด สัมผัสประสบการณ์ใหม่กับฟังก์ชั่นใช้งานสบายเพียงปลายนิ้ว












บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด พร้อมสร้างไลฟ์สไตล์สนุกสดใส ไปกับการใช้งานคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในทุกที่ด้วย VAIO P รุ่น VPCP115KG สุดยอด Pocket Style PC รุ่นล่าสุด




 















(กรุงเทพฯ / 18 พ.ค. 53) - บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด พร้อมสร้างไลฟ์สไตล์สนุกสดใส ไปกับการใช้งานคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในทุกที่ด้วย VAIO P รุ่น VPCP115KG สุดยอด Pocket Style PC รุ่นล่าสุด กับน้ำหนักที่เบาเพียง 618 กรัม และขนาดที่เล็กจนสามารถใส่ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเกท หรือกระเป๋าถือได้อย่างสบาย VAIO P รุ่นใหม่นี้มาพร้อมสีสันสดใสสะดุดตาให้เลือกถึง 4 สี คือ ส้ม ชมพู ขาว และดำ





สัมผัสประสบการณ์ใหม่จากการใช้งาน VPCP115KG ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย Mobile Grip Style ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นในทุกการเคลื่อนไหว นอกจาก Stick Pointer ที่อยู่ตรงกลางคีย์บอร์ดแล้ว ยังมี Touch Pad พิเศษ และปุ่ม Mouse ที่อยู่ด้านข้างหน้าจอทั้ง 2 ข้าง ช่วยให้คุณใช้งานได้เพียงปลายนิ้ว





นอกจากนั้น VAIO P รุ่นใหม่ ยังติดตั้ง accelerometer ระบบเซ็นเซอร์ที่จะตอบสนองการเคลื่อนไหวในมุมต่าง ๆ ของเครื่อง เมื่อพลิกด้านของ VAIO จากแนวนอนเป็นแนวตั้ง หน้าจอก็จะหมุนปรับให้ ซึ่งทำให้ง่ายในการอ่านเอกสาร หรือหน้าเว็บที่เป็นแบบแนวตั้ง และปุ่มเมาส์ที่อยู่ด้านล่างจะกลายเป็นปุ่มเปลี่ยนหน้าให้ทันที เมื่อใช้งานในแนวตั้ง เหมือนคุณถือหนังสืออ่านอยู่ช่วยปรับหน้าจอให้สามารถหมุนหน้าจอได้เพื่ออ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้สะดวกโดยการพลิกตัวเครื่อง หรือช่วยให้ backward หรือ forward เว็บเพจได้โดยการเอียงเครื่องไปทางซ้ายหรือขวาเท่านั้น และทัชแพดที่บริเวณขอบจอด้านขวาและปุ่มเมาส์คลิกซ้ายขวาที่ขอบจอด้านซ้าย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานเพียงแค่ขยับข้อมือ ก็สามารถเลื่อนดูรูปถ่าย เปลี่ยนหน้าเอกสาร หรือย้อนกลับไปหน้าเว็บที่ต้องการได้ทันที






VAIO P รุ่นใหม่ มีดีไซน์ที่สวยงามพร้อมทั้งใช้งานง่าย ด้วยคีย์บอร์ดขนาดพอเหมาะสำหรับการพิมพ์ ร่วมกับหน้าจอที่สว่าง และกว้างเป็นพิเศษที่สามารถดูหน้าเว็บพร้อมกันได้ 2 หน้า เสริมด้วย ambient light sensor ที่จะตรวจระดับแสงรอบข้างแล้วหรี่ความสว่างหน้าจอโดยอัตโนมัติ เพื่อถนอมสายตาและประหยัดพลังงานของแบตเตอรี่


นอกจากนี้ยังมีปุ่มพิเศษต่างๆ เริ่มด้วยปุ่ม “WEB” สำหรับการเข้าสู่หน้าเว็บได้ทันทีแม้จะปิดเครื่องไปแล้ว โดยไม่ต้องบูทเข้า Windows หรือ ปุ่ม ”ASSIST” ที่กดเพียงครั้งเดียวก็สามารถเข้าสู่โปรแกรม VAIO Care เพื่อทำการตรวจสอบ ดูแลรักษา VAIO ให้พร้อมใช้งานได้ดีอยู่เสมอ ปุ่มสุดท้าย “Resolution Change Button” เพียงกดก็สามารถเปลี่ยนความละเอียดหน้าจอจาก 1600 x 800 เป็น 1280 x 600 เพื่อมุมมองที่สบายตามากขึ้น





VAIO P ใหม่รุ่น VPCP115KG ทุกสี และอุปกรณ์เสริมสีสันสดใสเข้าชุด พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม ศกนี้ เป็นต้นไป ด้วยราคา 39,900 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลโซนี่ โทร 0-2715-6100 หรือ http://my.sony.co.th/shopping/th/gadget/view.aspx?ID=47 หรือ http://vaio.sony.co.th/





 








12 พฤษภาคม 2553

เผย"70แห่ง"อันตราย จอดรถแล้วหาย

เผย"70แห่ง"อันตราย จอดรถแล้วหาย
วิทยุ FM 91 จัดอันดับสถานที่ “จอดรถหาย หรือจอดแล้วหาย” จากสถิติ 7 เดือน ยานพาหนะถูกโจรกรรม 627 คัน พบสถานที่เสี่ยง 70 แห่ง "เคหะร่มเกล้า-คลองจั่น ตลาดสนามหลวง 2 คอนโดเมืองทองธานี และห้างฯ เซียร์ รังสิต" ติดอันดับหนึ่ง

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : นางสาว ไจตนย์ ศรีวังพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิไลเซ็นเตอร์ แอนด์ซันส์ จำกัด ผู้ร่วมดำเนินงานสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.FM 91 Traffic Pro คลื่นเพื่อข่าวสาร ความปลอดภัยและจราจร กองตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 พฤศจิกายน 2551 มีเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถยนต์กระบะ (ปิกอัพ) และรถยนต์ตู้ โทรศัพท์เข้ามายังหมายเลข 1644 “โทรฟรี” 0-2562-0033-4 และ 0-2941-0847-50 ของทางสถานีฯ เพื่อ ขอความร่วมมือประกาศ ประชาสัมพันธ์สังเกต ยานพาหนะรถยนต์ซึ่งถูกกลุ่มคนร้ายโจรกรรมไปจากสถานที่จอดรถทั้งในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด จำนวนทั้งสิ้น 627 คัน



โดยแยกเป็นรถยนต์กระบะ (ปิกอัพ) จำนวน 411 คัน รถยนต์นั่งส่วนบุคคล จำนวน 200 คัน และรถยนต์ตู้ จำนวน 16 คัน

สำหรับ ยานพาหนะรถยนต์กระบะ (ปิกอัพ) ซึ่งถูกกลุ่มคนร้ายโจรกรรมไปจากสถานที่จอดรถ จำนวน 411 คัน หรือร้อยละ 65.55 ของจำนวนรถยนต์ที่ หายทั้งหมด พบว่า

· อันดับ 1 เป็นรถยนต์กระบะ (ปิกอัพ) ยี่ห้อ อีซูซุ จำนวน 168 คัน หรือร้อย 40.88 ของกลุ่มรถยนต์กระบะ · ส่วนอันดับ 2 เป็นรถยนต์กระบะ (ปิกอัพ) ยี่ห้อ โตโยต้า จำนวน 115 คัน หรือร้อยละ 27.99

สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งมีการแจ้งหายผ่านทางสถานีวิทยุ สวพ.FM 91 จำนวนทั้งสิ้น 200 คัน หรือร้อยละ 31.90 นั้น

· อันดับ 1 เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ โตโยต้า จำนวน 86 คัน หรือร้อยละ 43 ของ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล · ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ฮอนด้า จำนวน 63 คัน

สถานที่เสี่ยงสามารถจัด อันดับ ให้เป็นสถานที่ “จอดรถ หาย หรือจอดแล้วหาย” ได้ 70 แห่ง เพราะมียานพาหนะหายไปจากสถานที่ดังกล่าวอย่างน้อยสถานที่ละ 2 คัน รวมจำนวนรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมไป 185 คัน หรือคิดเป็นร้อยละ 29.51


· อันดับ 1 ได้แก่ การเคหะ ร่มเกล้า, เคหะ คลองจั่น, ลานจอดรถตลาดสนามหลวง 2, คอนโดเมืองทองธานี และห้างสรรพสินค้า เซียร์ รังสิต มียานพาหนะรถยนต์ถูกกลุ่มโจรกรรมไปแล้วสถานที่ละ 6 คัน ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา



· อันดับ 2 เป็นสถานที่จอดรถ ซึ่งมีรถยนต์หายไปแล้ว สถานที่ละ 4 คัน ได้แก่ ตลาดกรมชลประทาน ถนนติวานนท์, หมู่บ้าน รินทร์ทอง คลอง 2 ลำลูกกา, ซอย ลาดพร้าว 112 ถนนลาดพร้าว, และ ซอยกำนันแม้น หรือเอกชัย 36 ถนนเอกชัย



· อันดับ 3 เป็นสถานที่จอดรถ ที่มีรถยนต์ถูกโจรกรรมไปแล้ว สถานที่ละ 3 คัน ประกอบด้วย ตลาดไท ถนนพหลโยธิน, ซอยมังกร-ขันดี ถนนเทพารักษ์, หมู่บ้านเสนานิเวศน์ ถนนเสนานิคม, ซอยจุฬาเกษม หรืองามวงศ์วาน 18 ถนน งามวงศ์วาน, ซอยท่าข้าม ถนนพระราม 2, ซอยท่าอิฐ ถนนรัตนธิเบศน์, ซอยลาดพร้าว 101, ซอยแฮปปี้แลนด์ ถนนลาดพร้าว, ถนน กรุงเทพ-กรีฑา, ซอยสุขุมวิท 71 หรือปรีดีพนมยงค์, ลานจอดรถ ตลาดมีนบุรี, ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดสมุทรสาคร, หมู่บ้านประชานิเวศน์ 3 ถนนสามัคคี, ซอยวัดด่านสำโรง ถนนศรีนครินทร์, ซอย เรวดี ถนนติวานนท์, ซอยเอกชัย 76 ถนนเอกชัย, และถนนสุขาภิบาล 1 (ฝั่งธนบุรี)



· อันดับ 4 เป็นสถานที่ ซึ่งมีรถยนต์กระบะ (ปิกอัพ) รถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์ตู้ หายไปแล้วสถานที่ละ 2 คัน ได้แก่ ลานจอดรถใต้ทางด่วนฯ ซอยพหลโยธิน 1, ซอยพหลโยธิน 48, ซอยพหลโยธิน 52, ซอยพหลโยธิน 56, ลานจอดรถมหาวิทยาลัย รังสิต, ลานจอดรถ กอล์ฟ แมนชั่น ข้างมหาวิทยาลัย รังสิต, ห้างสรรพสินค้า ฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิต ถนนพหลโยธิน, หมู่บ้านณัฐดา ซอยรังสิต-นครนายก 62, ห้างสรรพสินค้า แฟชั่น ไอร์แลนด์, ซอย คู้บอน, ถนอมมิตร ปาร์ค คอนโด วัชรพล ถนนรามอินทรา, เคหะ ปากเกร็ด นนทบุรี, ซอยติวา นนท์ 13 ถนนติวานนท์, หมู่ บ้านรัตนธิเบศน์, บางใหญ่ ซิตี้ ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี, สมาคมชาวปักย์ใต้, หมู่บ้าน สุขสันต์ 6 ถนนกาญจนาภิเษก, เคหะ ทุ่งสองห้อง ถนนแจ้งวัฒนะ, ซอย ชินเขต หรืองามวงศ์วาน 47, ซอยประชาราษฎร์ 1 ถนนประชาราษฎร์, ซอยลาดพร้าว 43, ซอยลาดพร้าว 71, ซอยลาดพร้าว 109 ถนนลาดพร้าว, ซอยรามคำแหง 24, ซอยรามคำแหง 58, ซอยรามคำแหง 188 ถนนรามคำแหง, เคหะ ดินแดง, ซอยอ่อนนุช 17 ถนนอ่อนนุช, ซอยสุภาพงษ์ ถนนศรีนครินทร์, ซอย ที่ดินไทย ถนนเทพารักษ์, ลานจอดรถวัดพลับพลาไชย ถนนหลวง, ทางเข้า สน.บุปผาราม ถนนอิสรภาพ, ซอยจรัญสนิทวงศ์ 57 ถนนจรัญสนิทวงศ์, ซอยเอกชัย 34, ซอยบางบอน 5 ถนนเอกชัย, ซอยเพชรเกษม 88, ซอยเพชรเกษม 114, ฟาร์มจระเข้ สามพราน, ลานจอดรถ วัดไร่ขิง ถนนเพชรเกษม, ซอยประชาอุทิศ 27 (ฝั่งธนบุรี), ซอยสะแกงาม ถนนพระราม 2, ตลาดมหาชัย สมุทรสาคร, ห้างสรรพสินค้า เทสโก้ โลตัส สาขา ศาลายา จังหวัดนครปฐม

สถานที่เสี่ยง “จอดรถหาย หรือจอดแล้วหาย” ที่อยู่ในกลุ่มสถานที่จอดรถประจำ ของอาคารที่พักอาศัยประเภท หอพัก อพาร์ตเม้นต์ คอนโด และแมนชั่น ซึ่งเจ้าของยานพาหนะรถยนต์พึงระวัง

· อันดับ 1 ได้แก่ ลานจอดรถ คอนโด เมืองทองธานี · อันดับ 2 คือลานจอดรถ หอพัก อพาร์ตเม้นต์ คอนโด และแมนชั่น ภายในซอยลาดพร้าว 112 และ · อันดับ 3 คือ ซอยลาดพร้าว 43 ถนนลาดพร้าว, ถนนลาดปลาเค้า, ถนนศรีนครินทร์, ถนอมมิตร ปาร์ค คอนโด, ถนนประชาสงเคราะห์, ซอยจุฬาเกษม หรืองามวงศ์วาน 18, บางใหญ่ ซิตี้ ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี, แมนชั่น หอพัก ข้างมหาวิทยาลัย กรุงเทพ ศูนย์รังสิต, ริมถนน สุขุมวิท จังหวัดสมุทรปราการ, ถนนเทพารักษ์, และถนนเพชรเกษม

ขณะเดียวกัน ลานจอดรถที่พักอาศัย ประเภท การเคหะ

· อันดับ 1 ได้แก่ การเคหะ ร่มเกล้า และการเคหะ คลองจั่น · ส่วนอันดับ 2 คือ การเคหะ บางพลี เมืองใหม่ และอันดับ 3 ได้แก่ การเคหะ ดินแดง ทุ่งสองห้อง และ ปากเกร็ด นนทบุรี

ส่วนสถานที่จอดรถชั่วคราว ประเภท ลานจอดรถของตลาด ที่พึงระวัง เพราะเป็นสถานที่เสี่ยง

· อันดับ 1 ได้แก่ ตลาดสนามหลวง 2 ถนนพุทธมณฑล สาย 2 อันดับ 2 คือ ตลาดกรมชลประทาน ถนนติวานนท์ อันดับ 3 ประกอบด้วย ตลาดมีนบุรี และตลาดไท และอันดับ 4 คือ ตลาดมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร
สำหรับ ลานจอดรถของ ห้างสรรพสินค้า ที่ถูกจัดให้อยู่ในสถานที่เสี่ยง อันดับ 1 ได้แก่ ลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้า เซียร์ รังสิต ถนนพหลโยธิน ส่ว · อันดับ 2 คือ ลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้า แฟชั่น ไอร์แลนด์ ถนนรามอินทรา, ห้าง สรรพสินค้า ฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิต ถนนพหลโยธิน และห้างสรรพสินค้า เทสโก้ โลตัส สาขา ศาลายา จังหวัดนครปฐม

สถาน ที่จอดรถซึ่งเป็นลานจอดรถของวัด และศาลหลักเมือง ที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง

· อันดับ 1 ได้แก่ ลานจอดรถ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดสมุทรสาคร · อันดับ 2 คือลานจอดรถ วัดไร่ขิง และลานจอดรถวัดพลับพลาไชย

ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

29 เมษายน 2553

วิธีดูแลตัวเองจากโรคมะเร็ง

หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ โรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษา แล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่ มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร้งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลาย ประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกัน แข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลัง เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจาก การทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมี ความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับ มะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

อะไรคืออาหารที่ป้อน ให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิวตร้าสวีต ' ' อี ควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จาก นิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ ' แบรก อมิโน ' หรือเกลือทะเลแทน

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะไ้ด้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแงดล้อมที่เป็นกรด อาหาร จำพวกเนื้อจะ สร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจ ได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมซาบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความ เป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่ม ภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำ สงครามกับมะเร็ง... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโต ได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้่ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

28 เมษายน 2553

หมาเน่า กับไม้เขี่ยหมาเน่า

ฉันได้ฟังปริศนาธรรมเรื่องนี้จากคุณแม่
ซึ่งพระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ
จากวัดป่าชิคาโก ท่านกรุณาเทศน์ให้ฟัง
พระอาจารย์เริ่มเรื่อง ด้วยคำถามว่า...



ENTRE RAICES





"ถ้ามีหมาเน่า ลอยน้ำมาติดที่หน้าบ้านของเรา เราจะทำยังไง"



Grass


ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียว กันว่า...
"ให้เอาไม้เขี่ยมันออก ไป"

Hummer with flash


พระอาจารย์ก็ถามต่อว่า...
"เขี่ยเสร็จแล้ว หมาเน่าลอยไปแล้ว ไม้นั้นเราทำยังไง"



lotus #12


ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า...
"ก็ต้องโยนทิ้งไป"




tell me a story



คราวนี้พระอาจารย์ก็บอกว่า...



Peaceable Kingdom

"นั่นแหละ มีคนบางพวก ไม่ยอมทิ้งไม้เขี่ยหมาเน่านั้นไปเฉยๆ ไม่รู้เสียดายอะไร ทั้งๆที่รู้ว่าเหม็น แต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดมอยู่เรื่อย ไม้เขี่ยหมาเน่าๆเหม็นๆน่ะ"




Autumn



พระอาจารย์เล่าเรื่องจบเพียงแค่นี้ ทิ้งไว้เป็นปริศนาธรรมให้เอามาคิดต่อ



papilio far away

เห็นด้วยกับฉันมั้ย คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็น แต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย...




"Lily Reflections..."



"ไม่โง่ก็โรคจิตนะ"

- : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - - :

เคยเป็นบ้างมั้ย เวลามีใครมาทำให้เราโกรธ
จนเรื่องต่างๆ เหตุต่างๆที่ทำให้เราโกรธมันดับไปหมดแล้ว แต่เราก็ยังเก็บมาคิดมาแค้นอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เสียดายอะไร...

ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้ เป็นทุกข์ แต่ก็เก็บความคิดแค้นมา เผาใจอยู่เรื่อยๆ

หรือไม่ต้องเรื่องความโกรธก็ได้ เรื่องอะไรๆที่มันผ่านไปแล้ว แต่หลายครั้ง เราก็ยังเก็บโน่นเก็บนี่มาคิด มากังวล มาเสียใจ...อะไรก็แล้วแต่
ฉันคนหนึ่งล่ะ ที่เคยเป็น แล้วฉันก็คิดว่า ทุกคนก็คงเคยเป็น

คราวหลังถ้าเป็นอีก ลองบอกตัวเองสิว่า...
"แน่ะ หยิบไม้เขี่ยหมาเน่ามาดมอีกแล้วนะเรา"
ดูซิว่า ยังจะอยากเก็บไม้เหม็นๆไว้ดมอีกมั้ย...

- : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - - :

ขอบคุณ เมล์ดีๆที่มาของข้อความนี้ครับ

27 เมษายน 2553

ดอกไม้ประจำเดือนเกิด เดือนธันวาคม

ดอกไม้ประจำเดือนเกิด เดือนธันวาคม- ดอกพุทธรักษา

" ดอกพุทธรักษา " นั่น ถือว่าเป็นดอกไม้แห่งความสนุกสนาน ความโชคดีของชีวิต มีความสว่างไสวอยู่ในมุมที่น่าเบื่อที่สุดของสวน ดังนั้นผู้ที่เกิดเดือนนี้จึงมีความประพฤติดี ๆ และมีระเบียบวินัยที่ผ่อนคลายยืดหยุ่นได้ตลอดเวลา จึงมักที่จะเป็นแรงกำลังใจให้กับเพื่อนฝูงในเวลาตกต่ำของชีวิต ทำให้คนอื่นรอบข้างมองโลกในทางที่ดีขึ้น เบิกทางสู่เสรีภาพ และมักนำคนรอบข้างไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องอยู่เสมอ จิตอันซ่อนเร้นของชาวเดือนธันวาคม มีบุคลิกโดดเด่น ร่าเริงและมีความสามารถในการปลอบโยนให้กำลังใจคนได้ดี และที่สำคัญมีความศรัทธาเกี่ยวกับเรื่องการก่อตั้งองค์กรทางศาสนา

26 เมษายน 2553

ดอกไม้ประจำเดือนเกิด เดือนพฤศจิกายน

เดือนพฤศจิกายน - ดอกตะบองเพชร



" ดอกตะบองเพชร " นั่น ถือว่าเป็นดอกไม้ที่แอบแฝงด้วยความลึกลับในกำเนิด และเกสร รวมทั้งในทุก ๆ กลีบดอก ผู้ที่เกิดเดือนนี้จึงมักมีความลับนับร้อย ๆ อยู่ในการดำเนินชีวิตของเขา แต่สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูงเพศตรงข้ามได้อย่างล้ำลึก เนื่องจากน่าสนใจและน่าค้นหาไม่รู้จบนั่นเอง ชาวเดือนนี้จึงมักชอบอยู่เงียบ ๆ ในออฟฟิตมากกว่าจะออกไปสังคมข้างนอก และมักจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้อยู่เสมอ

จิตอันซ่อนเร้นของชาวเดือนพฤศจิกายน ผู้ที่เกิดเดือนมักมีสัมผัสเร้นลับเกี่ยวกับความเชื่อโชคลางและศาสนา

25 เมษายน 2553

ดอกไม้ประจำเดือนเกิด เดือนเดือนตุลาคม

เดือนตุลาคม - ดอกกุหลาบ



" ดอกกุหลาบ " นั่น ถือว่าเป็นดอกไม้ที่มีความโดดเด่น อ่อนหวาน เข้าได้กับทุกสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี แถมชอบบรรยากาศที่สวยงาม อากาศที่บริสุทธ์ ดังนั้นผู้ที่เกิดเดือนนี้จึงหลงไหลกับบรรยากาศรอบข้างไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่คนมีระเบียบมากนัก ออกจะรกกว่าคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำไป และเนื่องจากดอกกุหลาบเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม จึงมี อิทธิพล ให้ชาวเดือนนี้มักเป็นคนที่มีเสน่ห์ในวงสนทนาเป็นพิเศษ

จิตอันซ่อนเร้นของชาวเดือนตุลาคม ผู้ที่เกิดในเดือนนี้เชื่อมั่นในความรัก และศรัทธาในศาสนาอย่างลึกซึ้ง รักความสงบเป็นพิเศษ

24 เมษายน 2553

ดอกไม้ประจำเดือนเกิด เดือนกันยายน

เดือนกันยายน - ดอกทิวลิป



" ดอกทิวลิป " นั่น ถือว่าเป็นดอกไม้ที่บ่งบอกถึงความนุ่มนวลและถูกขัดเกลามาอย่างดี ดอกทิวลิปเป็นดอกไม้ที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น ๆ มากกว่าระดับปกติ มีหัวใจที่ลึกซึ้งด้วยความเห็นอกเห็นใจคนรอบข้างแสดงถึงความฉลาดหลักแหลม ชอบที่จะใช้วิธีในทางธรรมชาติบำบัด ดอกทิวลิปเป็นดอกไม้แห่งความรู้สึก " ซาบซึ้ง " โดยจะสังเกตเห็นได้จาก เป็นคนเจ้าระเบียบ ตรงระเบียบ ตรงต่อเวลา แต่ก็มักวิตกกังวลกับเรื่องต่างๆ ได้ง่าย

จิตอันซ่อนเร้นของชาวเดือนกันยายน ผู้ที่เกิดเดือนนี้จะชอบเข้าวัดและผูกพันลึกซึ้งกับศาสนา เชื่อเรื่องโชคลางโหราศาสตร์เป็นพิเศษ
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ