14 ธันวาคม 2555

มาดูกันว่า ครูต้องทำอะไรบ้าง (ภาค 2)

   อันนี้เป็นภาคต่อของ ภาค 1 ที่เขียนเมื่อวานนะครับ (http://seal2thai.blogspot.com/2012/12/blog-post_13.html ) ยังไงลองอ่านดูก่อนนะครับ

   เอาหละ มาพูดเรื่องงานที่นอกเหนือการสอนของครูกันต่อ

   ในการสอน ครูจะต้องมีการเช็คชื่อนักเรียน และบันทึกลงใน ปพ.5 ต้องคอยตรวจสอบว่า นักเรียนคนไหนไม่มา มาสาย แล้วต้องประสานครูประจำชั้นเพื่อติดตาม (ในกรณีที่สอนรายวิชา) แต่โรงเรียนเล้กๆส่วนใหญ่ ครูประจำชั้นจะเป็นคนสอนเองในตัว

   ใน ปพ.5 นอกจากมีการลงเวลามาเรียนแล้ว ยังมีส่วนที่ครูต้องบันทึกครู คะแนนที่ทำการทดสอบ ทำกิจกรรม โดยต้องสอดคล้องกับตัวชี้วัด (ที่ได้มาจากการวิเคราะห์หลักสูตรและเขียนแผน) ต้องมีการแบ่งว่าจะเป็นคะแนน 80 : 20 หรือ 70 : 30 หรือ 60 : 40 แล้วแต่ธรรมชาติของวิชา ครูยังต้องลงคะแนนการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียนสื่อความ (ถ้าโรงเรียนใหญ่ๆ จะมีงบประมาณในการทำข้อสอบอย่างดี ส่วนโรงเรียนเล็กๆ ถ้าไม่ยืมเค้ามาถ่าย ครูก็ต้องออกแบบเองให้เหมาะสม) และยังมีคะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงค์อีก

   เมื่อครูกรอกคะแนนเรียบร้อยแล้ว ต้องส่งคะแนนให้ครูประจำชั้นกรอก ปพ.6 และ ปพ.8 เพื่อมอบให้ผู้ปกครองเอาไปชื่นชมตอนปลายปี (ถ้าเป็นมัธยมก็ปลายเทอม) แล้วครูต้องส่งให้ฝ่ายวัดผลกรอกลงใน ข้อมูลโปรแกรม student'51

   นอกจากนี้ ครูยังต้องทำระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีการออกเยี่ยมบ้าน การประชุมผู้ปกครอง การคัดกรอกเด็กกลุ่มเสี่ยง การทำกิจกรรมห้องเรียนสีขาว การประสานงานกับครู D.E.A.R. ที่เป็นตำรวจ เพื่อป้องปรามพฤติกรรมเด็ก


   บางที ตามโรงเรียนบ้านนอก มีเด็กหนีไปเล่นน้ำ เราอาจได้เห็นภาพครูขี่มอเตอร์ไซต์ถือไม้เรียวไปไล่เด็กกลับมาเรียน ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นอาจดีใจที่ครูเอาใจใส่ แต่ผู้ปกครองบางคนบอกว่า เพราะเด็ก 1 คน ทำให้เด้กอีก 10 คน ไม่ได้เรียน .... เฮ้อ ต่างมอง ต่างมุม

   ที่เล่ามาเราเรียกมันว่า ธุรการชั้นเรียน

   ในการจัดการเรียนรู้ สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือการวัดและประเมินผล นั่นคือการสอบนั่นเอง

   ครูวิทยาศาสตร์ หากสอนวิทยาศาสตร์อย่างเดียว เค้าก็จะสามารถออกแบบทดสอบได้อย่างมีคุณภาพ (มั้ง) เพราะในการออกข้อสอบ ก็ต้องย้อนกลับไปดูหลักสูตรฯ แล้วทำพิมพ์เขียวข้อสอบ (Test Buleprint) ว่าข้อสอบนี้วัดด้านใด พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย จิตพิสัย

   หากเป็นพุทธพิสัยก็จะแยกเป็น
   ความรู้ความจำ
   ความเข้าใจ
   การนำไปใช้
   การวิเคราะห์
   การสังเคราะห์

   เมื่อวิเคราะห์แล้ว ต้องบอกว่า ทำข้อสอบแต่ละระดับกี่ข้อ แบบทดสอบควรเป็นแบบใด ปรนัย หรืออัตนัย (ถ้าเป็นปรนัย ก็ต้องบอกอีกว่า แบบใดใน 4 แบบ)

   เมื่อได้แบบทดสอบแล้ว หากมีเวลา มีจำนวนนักเรียนเพียงพอ ต้องเอาแบบทดสอบนั้นไปหาค่า P ค่า R (ส่วนใหญ่อาจไม่ได้ทำครับ เพราะต้องกลุ่มตัวอย่างที่นอกเหนือจากที่สอบจริง) แล้วมาคัดในเรื่องของค่าคะแนนความยาก - ง่าย อีก

   และเมื่อจัดการเรียนรู้เสร็จแล้ว ต้องเขียนบันทึกท้ายแผนว่า ใช้แล้วเป็นอย่างไร เด็กผ่านจุดประสงค์กี่คน เด็กผ่านตัวชี้วัดกี่คน ไม่ผ่านกี่คน เพราะอะไร ควรแก้ไขอย่างไร....

   ...แล้วเอาผลนั้น มาทำเป็นงานวิจัย สร้างสื่อ สร้างนวัตกรรมเข้ามาแก้ไข

   แต่จะใช้เลยไม่ได้นะครับ ต้องผ่านการอนุญาตก่อน

   เมื่อสอนเสร็จประจำปี ก็ต้องรายงานทางต้นสังกัดว่า เด็กแต่ละชั้น ได้เกรดอะไรบ้าง เป็นจำนวนกี่คน ติด 0 กี่คน ติด ร กี่คน มส. กี่คน แล้วคุณแก้ไขหรือยัง อย่างไร บ่อยแค่ไหน (เด็กติด 0 เพราะไม่ยอมส่งงาน สอนก็แล้ว ด่าก็แล้ว ไม่นวมก็แล้ว ไม้แข็งก็แล้ว แจ้งผู้ปกครองก็แล้ว สุดท้าย ก็กลายเป็นความผิดของครู... สงสัย ต้องเอาดอกไม้ธูปเทียน อัญเชิญนักเรียนไปส่งงาน ไปเข้าสอบเสียแล้วกระมัง)

   เอาหละ นอกจากการสอนอันมีขั้นตอนต่างๆตามที่พูดแล้ว ครูยังต้องทำงานเหล่านี้ (เอาแค่คร่าวๆนะครับ เพราะถ้าบอกหมดเดี๋ยวยาว)

   - งานวิชาการ
   ตรวจสอบจำนวนแผนของครู, ตรวจแบบทดสอบ, ตรวจสอบการแก้ไขหลักสูตร, การรายงานรายชื่อนักเรียนเข้าสอบ onet, การรับนักเรียน, การย้ายนักเรียน, การทำหลักสูตรอาเซียน, การทำหลักสูตรป้องกันอุทกภัย, การทำข้อมูลนักเรียน SIMS , การกรอกข้อมูลผลการเรียนในโปรแกรม student'51 , การรายงานข้อมูลต่างๆตามที่หน่วยงานต้นสังกัดขอ , การประชุม, การอบรม, การสัมมนา ฯลฯ ครูวิชาการจะโดนเรียกอบรม ประขุม สัมมนาบ่อยมากๆ  จำได้สมัยเงินเดือน 8 พันกว่า โดนอบรมทั้งปีรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 180 ชม. (ข้าราชการครู คิดชั่วโมงอบรมเป็น 6 ชม./วัน ครับ) เดินทางก็ต้องออกเงินค่าเดินทางเอง ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ถึงจะมีแต่ก็.... เหอะๆ นั่งรถเมล์จากพิษณุโลก ไปกำแพงเพชร เที่ยวละ 78 บ. ไปกลับก็ร้อยกว่า ได้เบี้ยเดินทาง 100 เดียว <<< เข้าเนื้อๆๆ 555+





   - งานบริหารทั่วไป / ธุรการ
   จัดทำเอกสารราชการ, จัดทำหนังสือเข้า - ออก, จัดทำคำสั่งในกิจกรรมต่าง, งานธุรการก็จะมีอบรม ประชุม สัมมนาบ้าง แต่ก็น้อยครั้ง แล้วก็ยังมีกิจกรรมต่างๆของนักเรียน เช่น แห่เทียน กีฬาสี งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นต้น

   - งานการเงิน
   งานนี้ มีขาอยู่ในคุก 1 ข้าง รับผิดชอบเรื่องการเบิกจ่ายเงิน ทั้งค่าอาหารกลางวัน, ค่านมเด็ก, ค่าอุปกรณ์อันแสนจะน้อยนิด (สำหรับโรงเรียนเล็ก) , ทำบันทึกประจำวันเงินคงเหลือ ก็จะมีอบรม ประชุม สัมมนาบ้าง แต่ก็น้อยครั้ง

   - งานพัสดุ 
   เมื่อครู่การเงินเอาขาข้างซ้ายเข้าไปอยู่ในคุก งานพัสดุกลัวน้อยหน้า เลยเอาขาข้างขวาไปอยู่ในคุกบ้าง เหอะๆๆๆ ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องทะเบียครุภัณฑ์, วัสดุคงทน, วัสดุสิ้นเปลือง, การเบิกจ่ายต่างๆของครู อันนี้จะเยอะหน่อยถ้าเป็นโรงเรียนใหญ่ บางโรงเรียนมีครูที่ทำหน้าที่การเงิน 14 คน โห!!! เท่้ากับครูโรงเรียนผมทั้งโรงเรียนเลย....

   ที่กล่าวมานี่เป็นส่วนหนึ่งนะครับ เพราะถ้าครูที่ทำงานเหล่านี้ทำไปเก็บงานไป เค้าก็อาจจะมีผลงาน แบบนี้

   แหม อยากจะเอาบันทีกประจำวันสแกนลงเสียจริงๆ เหอะๆ 

   ผมเชื่อว่าต้องมีครูที่ทำงานหนัก ทำงานมาก แถมยังโดนเรียกอบรมมาก เหมือนกัน เผลอๆอาจจะมากกว่าในกรณีที่โรงเรียนมีครู 2 คน อย่างที่บอกไปในบทความที่แล้ว

   นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงพี่น้องวงการครูที่อยู่โรงเรียนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ สพฐ. อีกนะครับ พวกท่านคงลำบากเหมือนกันกับพวกเรา

   ที่เขียนมานี้ ไม่ใช่ว่า เรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือนครูนะครับ เพียงแค่อยากจะบอกให้รู้ว่า บางท่านคิดว่า ครูมีปิดเทอม แต่ในช่วงที่เปิดเทอม ครูต้องทำอะไรบ้าง และครูบางคนอาจจะไม่มีปิดเทอม เพราะ ผอ.เรียกมาทำงาน หรือถูกเรียกประชุม อบรม สัมมนา

   การเป็นครูนั่นเหนื่อยครับ แต่การได้บ่นโดยการเขียนเนี่ย มันทำให้เรามีแรงฮึดต่อ เพราะอย่างน้อยๆเผื่อผู้หลักผู้ใหญ่ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษา หรือแม้แต่นายกฯ อาจจะเผลอแวะเวียนเข้ามาอ่านบ้าง (เนาะ)

   บ่นกับด่ามันต่างกันนะครับ

   บ่นแต่ทำงาน กับไม่เคยบ่น(เพราะไม่ได้ทำงาน) กันก็ต่างกันครับ อิอิ (ศน.บางท่านบอกว่า เข้าแชมป์มันขี้บ่น แหม มันก็ขอระบายออกมาบ้างเถอะ แต่ก็บนหลักของวิชาการ เหตุผลนะครับ อิอิ)

   ใครทำอะไร ย่อมได้อย่างนั้น ถ้าครูไม่รักลูกคนอื่นเท่าลูกตัวเอง ตอนที่ครูมีลูก ผลกรรมมันก็ตกกับลูกของครูเอง ใช่ไหมครับ เชื่อว่าครูเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ย่อมมีจิตวิญญานของความเป็นครูอย่างเต็มเปี่ยม มีสำนึกของความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มกำลัง

   สาธุ ขออานุสงส์ที่ตั้งใจทำเพื่อการศึกษา จงส่งผลให้ได้สัมฤทธิ์ในสิ่งที่ฝันสูงสุดด้วยเถิด....

(ผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านใด ก็กราบขออภัยล่วงหน้า ตามประสาครูนะจ๊ะ)

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................



13 ธันวาคม 2555

มาดูกันว่า ครูต้องทำอะไรบ้าง

   สวัสดีครับ

   พอดีดูช่อง 3 พูดถึงเรื่องวิกฤตการศึกษาไทย คะแนน วิทย์ - คณิต อยู่ในระดับต่ำ เลยทำให้นึกถึงหัวข้อกระทู้เกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือนครู แล้วมีอาชีพอื่น (รวมถึงในวงการศึกษาด้วยกัน) ออกมาวิจารณ์กันอย่างรุนแรง และเมามัน แต่สิ่งหนึ่งที่มีการเปรียบเทียบคือ เค้า(ทั้งหลาย) ต่างคิดว่า ครูแสนสบาย มีปิดเทอม แต่พวกเค้าต้องทำงานเกี่ยวกับเชื้อโรค เกี่ยวกับความตาย ทำไมไม่ให้ความสำคัญกับเค้าบ้าง

   แถมคุณสรยุทธ์ ยังเจาะประเด็นเรื่องนี้ออกช่อง 3 อีก เชื่อว่าต้องมีคนพูดว่า "เห็นไหม ขึ้นเงินเดือนให้พวกครูไปก็เท่านั้น ผลสัมฤทธิ์เด็กก็แย่ลง"

   เอาเป็นว่า ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างไม่เห็นอาชีพอื่นๆในทุกมุมมอง (คนที่มีแฟนเป็นครู ย่อมรู้ดีว่าหน้าที่ของครูต้องทำอะไรบ้าง คนที่มีแฟนเป็นตำรวจ ทหาร อบต. หรือแม้กระทั้งธุรการโรงเรียน ก็ต้องย่อมรู้ดีเช่นกัน) ... ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรม เราไม่ควรตัดสินว่าอาชีพใดดีกว่า อาชีพใดสบายกว่า หากไม่มีข้อมูลจากประสบการณ์ตรง

   ในฐานะที่เป็นครู ก็ขอพูดเฉพาะในมุมของครูก็แล้วกัน

   พูดถึงครู ก็แบ่งออกเป็น ข้าราชการครู พนักงานราชการที่เป็นครู ครูอัตราจ้าง และครูเอกชน (สรุปแบบลวกๆนะครับ ว่ามี 4 กลุ่มใหญ่ๆนี้)

   ทีนี้ เรามาดูประเภทโรงเรียนบ้าง ถ้าจำไม่ผิดก็จะแบ่งเป็น
   - โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย
   - โรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษ เช่นจุฬาภรณ์ หรือ มหิดลวิทยานุสรณ์
   - โรงเรียนสังกัด สพฐ (ประถม / มัธยม)
   - โรงเรียนสังกัด กทม.
   - โรงเรียนเอกชน
   - โรงเรียนพระปริยัติธรรม (สอนเณร)
   - โรงเรียนสังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ. เทศบาล)
   อันนี้แบ่งโดยคร่าวๆนะครับ ไม่ได้ถูกต้องตามหลักวิชาการอะไรทั้งนั้น

   คราวนี้ ถ้าใครมีอาชีพเป็นครู ก็ต้องย่อมรู้ว่า โรงเรียนแบบไหน ได้งบประมาณขนาดไหน มากน้อยเพียงใด (คนที่ไม่ได้เป็นครู ลองเดาเล่นๆดูก็ได้นะครับ)
   ที่นี้ โรงเรียนสังกัด สพฐ. (บ้านของพวกผมเอง) ก็มีการแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่

   ขนาดของโรงเรียน ก็มีผลต่องบประมาณ เพราะนักเรียน ป.6 มี 200 คน กับ ป.6 มี 2 คน มันก็ต้องเปิดสอน ป.6 เหมือนกัน แต่ด้วยข้อจำกัดของขนาดของโรงเรียน เลยทำให้บางโรงเรียนที่เปิดสอน อนุบาล 1 - ป.6 ( 8 ชั้น) มีครู 2 คน กับ ผอ. 1 คน
   ... แล้วเค้าจะสอนได้อย่างไร
 
   เชื่อว่า ต้องมีคนถามแบบนี้ แต่อยากให้รับทราบไว้ว่า ทุกวันนี้ โรงเรียนก็ยังต้องสอนอยู่

   ทีนี้ ก็ต้องมีคนคิดว่า แล้วทำไม ไมุ่ยุบไปหละ...

   ผมอยากให้คุณนึกถึงว่า ถ้าวันหนึ่ง ในหมู่บ้านของคุณอยู่ เข้าต้องการตัดถนนเพื่อสร้างความเจริญให้กับหมู่บ้าน แต่แผนที่มันตัดผ่านกลางบ้านคุณ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ คุณจะยอมไหม บ้านของคุณอยู่มาตั้งนานอยู่ดีๆเค้าจะไล่คุณไปซะอย่างงั้น

   เด็กพวกนี้ก็เหมือนกัน ... ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร หากโรงเรียนโดนยุบไป เค้าจะต้องเดินทางไกลขึ้น เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น เอาเป็นว่า คุณลองคิดภาพนะครับ ลูกของคุณอยู่ ป.2 ต้องปั่นจักรยานไปโรงเรียนที่ไกลขึ้น เพราะโรงเรียนเก่าถูกยุบ โดยเส้นทางที่ไป ต้องผ่านถนนสายหลัก มีรถบรรทุกอ้อย บรรทุกน้ำมันวิ่งผ่าน คุณจะยอมไหม...

   เอาหละ จากเรื่องของขนาดของโรงเรียน และจำนวนครูแล้ว จะได้เข้าเรื่องที่ว่า ครูต้องทำอย่างไรบ้าง

   ก็รู้อยู่แล้วนะครับ ว่าครูต้องทำหน้าที่สอนหนังสือเด็กนักเีัรียน ซึ่งปัจจุบัน มีการใช้หลักสูตรฯ 51 กำหนดไว้ว่า 1 วัน เด็ก ม.ต้น ต้องได้เรียน 6 ชม. ส่วนระดับประถม เรียน 5 ชั่วโมง ส่วนชั่วโมงเหลือเป็นซ่อมเสริม

   ทีนี้ มีนักการศึกษากล่าวว่า ครูจะสอน 1 ชม. ต้องมีการเตรียมการสอน 1 ชม. เท่าๆกัน (การเตรียมการสอนที่ว่า คือการวิเคราะห์หลักสูตร ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ เขียนแผนจัดการเรียนรู้ เตรียมสื่อ เตรียมอุปกรณ์ เตรียมใบงาน เตรียมแบบทดสอบ <<< ทั้งหมดเนี่ย 1 ชม.)

   แล้วครูโรงเรียนเล็กๆ ที่สอน 3 วิชา 5 วิชา คุณก็ลองคิดเองครับว่า จะต้องเตรียมการสอนอย่างไร ใช้เวลาแค่ไหน

   ทีนี้ โรงเรียนที่มีครู 2 คน หละ จะสอนอย่างไร...

   "สอนแบบบูรณาการสิ!!!" มีเสียงตะโกนออกมาจากหลังห้อง

   ถ้าต้องสอนแบบบูรณาการ ก็จะมีคำถามตามมาว่า
   - มีหลักสูตรรองรับไหม
   - หลักสูตรมีคุณภาพไหม
   - วัดผลได้อย่างไีร
   - คณะกรรมการสถานศึกษาฯ อนุมัติไหม
   - มีงานวิจัยรองรับหรือไม่
   - ผลการศึกษาทำให้เด็กสอบ onet ได้หรือไม่

   เอาแค่คำถาม 6 ข้อนี้ คุณจะสามารถตอบแทนโรงเรียนที่มีครู 2 คน ได้หรือไม่

   ....ประเด็นต่อมา ในโลกของความเป็นจริง ครูไม่ได้สอนอย่างเดียว

   งานหลักๆของโรงเรียน มี 4 งาน
   1. วิชาการ
   2. ธุรการ
   3. การเงิน
   4. พัสดุ (ไม่ใช่กองพัสดุที่มุตากับวีกิจเค้าทำงานนะครับ)

   เอาหละ ครู 2 คน มาจับฉลากกัน ว่าใครจะทำงานอะไร (ที่แน่ๆ การเงิน กับพัสดุ ห้ามเป็นคนๆเดียวกัน) แถมยังมีออกมาอีกว่า เรื่องพัสดุ ต้องมีหัวหน้่างานพัสดุ กับเจ้าหน้าที่พัสดุ อ้าาววววววว มีครูอยู่ 2 คน แล้วจะทำยังไง.... ทำอะไรไปก็ผิดระเบียบ เหอะๆ

   ยังครับ ยังไม่หมด ต้องบ่นอีกหลายวัน ยังไงอย่าลืมติดตามบันทึกของครูบ้านนอก โดยครูแชมป์ พิริยะ นะครับ อย่างน้อยๆ ก็ได้รับฟังมุมหนึ่งของครูนะครับ

   ผมเคยเขียนเรื่อง อาชีพครู ผู้รับใช้ที่ถูกประนาม แล้วมีคนส่งเมล์ และข้อความมาด่าว่าผม แล้วเค้าบอกว่า คนงานก่อสร้างเงินน้อยกว่าครู เค้าไม่ตายแล้วเหรอ... ผมไม่ได้ตอบโต้เค้าไป เพราะเค้าคงไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เรายืน คนงานก่อสร้าง เค้าไม่ได้จ่ายค่าถ่ายเอกสารให้ลูกคนอื่น ไมไ่ด้ซื้อหนังสือไปให้ลูกคนอื่นค้นคว้า หรือไม่ต้องซื้อแฟ้มใส่งานเอง ซื้อลวดเย็บกระดาษเอง ถ้าเป็นครูแล้วเงินดีอย่างคนนั้นว่า ผมคงไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซต์เก่าๆ ไปโรงเรียนซึ่งมีระยะทางไปกลับร่วม 50 กม. หรอกครับ

   ติดตามต่อ วันพรุ่งนี้นะครับ พี่น้องชาวไทย
(อ่านต่อ http://seal2thai.blogspot.com/2012/12/2.html จ้าาาาา)

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

 

08 ธันวาคม 2555

AdSense ยกเลิกการแบนแล้ว

...หลังจากที่ลำบากใจมากหลายวัน

เช้าวันนี้ ดูเหมือนการเปิดคอมพ์ตั้งแต่ตีห้าจะเป็นการบอกข่าวดีให้ตัวเอง

   ผมลองเช็ค Adsense ดูว่ามีอะไรผิดปกติอีกไหม เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน จู่ๆก็มีข้อความว่า ถูกยกเลิกการใช้งานสำหรับเว็บ seal2thai.org แต่ยังสามารถใช้งานกับเว็บอื่นๆได้

   ตอนนั้น รู้สึกเสียใจมาก เพราะ seal2thai.org ถือเป็นเว็บหลักเลยทีเดียว ผมแปลกใจที่ช่วงหลังๆ บางครั้งเราไม่ได้ข้อความแจ้งเตือนเหมือนเมื่อก่อน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกแบนเสียแล้ว

   สาเหตุที่ถูกแบนครั้งนี้ เป็นเพราะหน้าที่เป็น webboard ครับ

   ดังนั้น หากท่านใดทำ adsense แล้วมี webboard ก็ระวังด้วยนะครับ

   (มีประโยชน์ขอสัก Like เด้ออออ)


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

07 ธันวาคม 2555

เหตุใดคนโบราณไม่นิยมสวมแหวนนิ้วกลาง



วิชาการหัตถศาสตร์ของไทย ท่านอธิบายดังนี้ นิ้วกลางเป็นนิ้วของดาวเสาร์ ถ้านิ้วยาวแสดงว่าเป็นคนรักความสงบ ชอบการศึกษา ถ้าเป็นสี่เหลี่ยมและหนา แสดงว่ามีความคิดลึกซึ้ง ถ้านิ้วสั้นหรือมีตำหนิ จะไม่เอาใจใส่เรื่องใด ถ้านิ้วนี้ยาวกว่าฝ่ามือ เป็นผู้รอบคอบดี ถ้าสั้นกว่าฝ่ามือ เป็นคนใจร้อน มักตกลงใจเร็ว นิ้วกลางสำคัญเพราะป็นนิ้วที่รับเส้นโชคอันหมายถึงอาชีพและวิถีทางแห่งชีวิต และเป็นนิ้วที่แสดงถึงนิสัยโดยตรง

อีกตำราบอกถ้านิ้วกลางยาวเกินไปเป็นคนเซื่องซึม สั้นเกินไปเป็นคนรุกราน อยู่ไม่สุข ตรงจึงจะดี ถ้าไม่ตรงเป็นคนมีอัตตทิฏฐิคือถือตนเป็นใหญ่ ถ้าแอ่นหงายไปข้างหลังมาก มักขัดสนหรือกำพร้าบิดามารดามาแต่น้อย ถ้ามีเส้นคาดรอบวงนิ้ว แม้สุขแต่ก็ทุกข์ทางใจ มีรอยก่ายไขว้กันตรงข้อหรือเป็นกากบาท ไม่ดี มีตำหนิหรือพิการ มักอยู่ห่างจากมารดา

ดังนั้นการที่เราสวมใส่แหวนก็เหมือนเอาอะไรมารัดตรงนิ้วกลาง ท่านว่าไม่เหมาะไม่ควร

เรื่องของความเชื่อมีหลายกระแส แต่คนที่สวมแหวนนิ้วกลาง จะเป็นคนจิตใจรื่นเริงแจ่มใส มีจินตนาการสูง ไม่มั่นใจในตัวเอง หนุ่มใดมาจีบต้องสร้างความมั่นใจให้รู้สึกว่าสิ่งที่มีอยู่น่ะดีเลิศ คุณเป็นคนที่น่ารักที่สุดในสายตาของผม...ว่าเข้าไปนั่น

ส่วนอีกตำราบอกว่าคนชอบสวมแหวนนิ้วกลางจะเป็นคนรักสันโดษ ยึดถือความคิดของตนเป็นหลัก เอาตนเป็นจุดศูนย์กลาง ค่อนไปทางดื้อรั้น แต่ก็ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นบางครั้ง มีความจริงใจ ซื่อสัตย์มั่นคง ห่วงใยความรู้สึกของคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนในครอบครัวหรือเพื่อน

แถมการทายทักถึงการสวมแหวนในนิ้วอื่นให้ด้วยเอ้า นิ้วชี้เป็นนิ้วของดาวพฤหัสบดี สวมแหวนนิ้วนี้แสดงถึงความเด่น มีอำนาจปกครองคน มีมานะ ก้าวหน้า มุ่งที่จะเชิดชูฐานะตนให้เด่นขึ้น บอกลักษณะของความมีความเชื่อมั่นในตัวเอง นิ้วนางเป็นนิ้วของดาวอาทิตย์ แหวนบนนิ้วนาง (ไม่ได้หมายถึงแหวนแทนรัก) สื่อความว่าเป็นผู้เอาแต่ใจตัวเอง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ แต่ภายใต้ความท่าทางเข้มแข็งคือความบอบบาง

นิ้วก้อยนิ้วของดาวพุธ สวมใส่แหวนนิ้วก้อยนี้ท่านว่าอยู่ในโลกของความฝัน เก็บกด ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ส่วนนิ้วหัวแม่มือ สวมแหวนนิ้วนี้ว่าเป็นคนแปลก สังคมและสายตาผู้อื่นทำอะไรมิได้ มีความเชื่อมั่นและความภูมิใจในตัวเอง

ไม่ใช่เรื่องต้องถอดแหวนทิ้งหากทักทายไม่เข้าแก๊ป ขึ้นอยู่กับความสบายใจ สบายก็สวม ไม่สบายก็ไม่ต้องสวม...ก็แล้วกั

ขอบคุณเกร็ดความรู้จาก : หนังสือพิมพ์ข่าวสด





ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

28 พฤศจิกายน 2555

เครียด... ปั่นป่วน

   ...พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่ สมศ.จะเข้า

   เป็นสิ่งที่หลายๆโรงเรียนมีัความรู้สึกคล้ายๆกัน นั่นคือการร้อนๆหนาวๆ กระอักกระอ่วน ของผมเป็นหนักหน่อย ถึงกับท้องเดิน (มันเหมือนกับท้องเสียไหมครับ)

   เอาเถิด จะอย่างไร ก็สู้เพื่อโรงเรียน และเด็กๆ ของเรา


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

06 พฤศจิกายน 2555

รูปนักเรียนชั้น ม.2

ให้นักเีรียนนำรูปของตนเอง นำไปตกแต่งในฉากหลังที่กำหนด









ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................


02 พฤศจิกายน 2555

ข้อคิดที่ได้จากโทรศัพท์ 3 นาทีครึ่ง


เมื่อเช้าตอนประมาณ 7 โมง ท่าน ผอ. โทรมาถามว่า จะเอาเสื้อสูทใส่ไปรับรางวัลที่รัฐสภาไหม ?? ถ้าจะเอาเดี๋ยวจะติดรถไปให้

ผมบอกท่านไปว่า ไม่เอาครับ ผมจะใส่เครื่องแบบข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้ารับรางวัล แล้วก็คุยเรื่องอื่นๆเล็กน้อย

การกระทำของ ผอ. ทำให้ผมเข้าใจว่า การเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าที่ดี ต้องกระทำอะไรบ้าง ผู้นำ ไม่ใช่ใช้อำนาจเพียงด้านเดียว หรือเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องเพียงด้านเดียว สรุปแล้ว ต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ

ตอนน้ำท่วม ผอ. ผมไม่เคยโทรมาสั่งว่า ให้เข้าไปโรงเรียนแล้วถ่ายรูปน้ำท่วม (ท่านรู้ว่ามอเตอร์ไซต์ของผมลุยน้ำเข้าไปไม่รอด) แต่ท่านใช้การขับรถเข้ามารับ แล้วขับรถกลับมาส่งถึงบ้าน (แถมเลี้ยงข้าวอีกต่างหาก)

ท่านมีอำนาจสั่งให้ผมทำ แต่ท่านก็เลือกที่จะใช้อำนาจนั้น แต่เลือกที่จะใช้วิธี ทำไปด้วยกัน ลุยเคียงบ่าเคียงไหล่ ... แล้วแบบนี้ เราจะรบแบบถวายหัวให้ท่านไม่ได้เลยหรือ

... หากเอื้อประโยชน์เฉพาะพวกพ้อง ท่านก็จะมีคนหวังแต่ประโยชน์เข้ามาอยู่ด้วย แต่ถ้าแบ่งปันประโยชน์นั้นให้คนที่สามารถใช้งานได้ เราก็จะได้คนทำงานเป็นมาอยู่ด้วย (ข้อคิดที่ได้จากโทรศัพท์ 3 นาทีครึ่ง 2 พ.ย. 55 ครูแชมป์ พิริยะ)


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

31 ตุลาคม 2555

ต้อนรับวันปล่อยผี กับความเชื่อหลอนทั่วโลก (ที่เจน ญาณทิพย์ อาจจะยังไม่เคยสัมผัสได้)

   วันนี้ เป็นวันปล่อยผีของชาวฝรั่งมังค่า ปีหนึ่งมีเพียงครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน ครูแชมป์เชื่อว่า ของคนไทยยังมีวันปล่อยผีเยอะว่า (เพราะปล่อยกันทุกวันพระใหญ่ 55+) ตอนนี้ อาจจะยังมีพลังงานบางอย่าง ที่ยังไม่กลับขุมนรกควัญหลงออกพรรษารอส่วนบุญอยู่ก็ได้

   เรามีดูว่า 13 ความเชื่อของฝรั่ง มีอะไรกันบ้างครับ

   1. แมวดำ
ตาม ความเชื่อแต่โบราณของตะวันตก แมวดำถือเป็นสัญลักษณ์แห่งลางร้าย และถูกเชื่อมโยงกับลัทธิแม่มด ในหลายๆ วัฒนธรรมเชื่อว่าหากโดนแมวดำวิ่งตัดหน้า นั่นเป็นลางบอกเหตุว่าคุณกำลังจะเจอเรื่องเลวร้ายจนอาจถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้แมวดำยังเป็นของแสลงสำหรับเหล่านักพนัน โดยเชื่อกันว่าหากพวกเขาเห็นแมวดำขณะกำลังจะเดินทางไปเล่นพนันที่กาสิโนแล้ว ล่ะก็ เขาควรจะล้มเลิกแผนการที่จะไปเสี่ยงโชคในวันนั้นไปเลย

แต่ทั้ง นี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ว่าแมวดำจะเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด ในวัฒนธรรมของบางประเทศเช่นญี่ปุ่น อังกฤษ และไอร์แลนด์นั้นมีความเชื่อที่ตรงกันข้าม เพราะแมวดำสำหรับพวกเขาแล้วเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งโชคดีนั่นเอง

2. ละครสกอตแลนด์
เหล่า นักแสดงก็ถือเป็นกลุ่มคนที่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อด้านไสยศาสตร์ เช่นกัน และดูเหมือนว่าจะไม่มีกรณีไหนที่ชัดเจนเท่ากับละครโศกนาฏกรรมเรื่อง “แม็คเบ็ธ” ของเช็คสเปียร์อีกแล้ว (แสดงโดยเอียน แมคเคลเลน และ จูดี้ เดนช์ ในปี 19671) มีความเชื่อว่าหากมีคนพูดชื่อ 'แม็คเบ็ธ' ในโรงละคร (ที่ไม่ใช่การพูดระหว่างเล่นละครเรื่องนี้) จะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายบางอย่างกับการเล่นละครครั้งนั้น ดังนั้นเหล่านักแสดงจึงเลี่ยงไปใช้คำว่า 'The scottish Play' หรือ ละครสกอตแลนด์ แทน นอกจากนี้การแสดงละครเรื่องแม็คเบ็ธยังถูกกล่าวขวัญว่าเป็นสิ่งที่นำมาซึ่ง ความหายนะ เนื่องมาจากการแสดงละครเรื่องนี้ครั้งแรก ได้เกิดเหตุการไม่คาดฝันขึ้น โดยนักแสดงหลักต้องเสียชีวิตกลางเวทีเมื่อสิ่งที่ควรเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากใน การแสดงนั้น กลับกลายเป็นมีดของจริง

เรื่องลี้ลับเกี่ยวกับวงการการ แสดงอีกเรื่องที่รู้จักกันดีคือการอวยพรนักแสดงก่อนขึ้นเวทีว่า 'โชคดีนะ' ซึ่งนั่นจะนำสิ่งที่ให้ผลตรงกันข้ามมา ดังนั้นนักแสดงจึงเปลี่ยนคำอวยพรให้กันเป็น 'ขอให้ขาหักนะ' โดยเชื่อว่าการแช่งแบบนี้จะให้ผลตรงกันข้ามและนำมาซึ่งสิ่งดีๆ แทน อย่างไรก็ตามต้นกำเนิดของความเชื่อนี้ยังคลุมเครือ แต่ก็เชื่อกันว่าถูกลือกันมาตั้งแต่ช่วงปี 1920 แล้ว

3. การ์กอยล์
การมีรูปปั้นหน้าตาอัปลักษณ์ไว้ตามอาคารบ้านเรือนอาจจะดูไม่ใช่เรื่องสมควร เท่าไรนัก แต่จากที่เราเห็นๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นแนวอัปลักษณ์ที่เรียกว่า 'ฮังค์กี้ พังค์' หรือรูปปั้นที่มีท่าทางสื่อไปในทางเพศแบบค่อนข้างน่าเกลียดอย่าง 'ชีล่านากิก' ในประเทศไอร์แลนด์ รวมถึง 'การ์กอยล์' ในประเทศอังกฤษ ซึ่งเหมือนกับที่ตั้งอยู่เหนือวิหารนอเทรอ-ดาม แห่งปารีส – ทั้งหมดได้พิสูจข้อสันนิษฐานนั้นแล้วว่าไม่จริงเสมอไป ในทางทฤษฎีแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเหมือนมนตราที่ช่วยขจัดความชั่วร้าย ไปจนถึงขับไล่ปีศาจ และสำหรับการติดรูปปั้นการ์กอยล์นั้นมีจุดประสงค์อื่นแฝงไว้คือ ปากของมันจะหน้าหน้าที่เป็นรางรองน้ำฝนบนหลังคาโบสถ์ไปด้วย

4. ไพ่ในมือคนตาย
ไพ่คู่ 8 ดำ และคู่เอซดำ รวมกับไพ่อะไรก็ได้อีกใบหนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นไพ่แห่งความโชคร้ายในการเล่นโป๊กเกอร์ (แม้ความจริงแล้วจะดูเหมือนเป็นแต้มที่ค่อนข้างดีก็ตาม) ทำไมน่ะหรือ? เพราะตำนานบอกไว้ว่านี่คือไพ่ในทือของ 'ไวล์ บิล ฮิกค็อก' ทนายความและมือปืนสุดเหี้ยมแห่งตะวันตก ขณะที่เขาถูกยิงตายระหว่างที่เล่นโป๊กเกอร์ที่เดดวู้ดในปี 1876 โดยมีหลักฐานที่พิสูจน์เรื่องนี้อยู่เล็กน้อย แต่ไม่มีใครในยุคนี้ที่บอกได้ว่าจริงๆ แล้วไพ่ในมือของเขาคืออะไร แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความเชื่อในเรื่องนี้หายไปจากวงการนักพนันได้ หากคุณเคยเห็นตัวละครในภาพยนตร์ถือไพ่เลขนี้อยู่ นั่นเป็นโอกาสอันดีซึ่งเขาจะได้จบชีวิตแบบศพไม่สวยในไม่ช้า

5. การไขว้นิ้วมือ
ารไขว้นิ้วมือเพื่อขอให้โชคดี (หรือจะเพื่อโกงไม่ทำตามสัญญาก็แล้วแต่) เป็นสิ่งที่ทั่วโลกรู้จักกันดี แต่จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ดูจะไม่ชัดเจนนัก โดยอาจเริ่มมาจากประเทศคริสเตียนที่ระบุว่าการทำสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น เชื่อมโยงกับการไขว้กันของไม้กางเขนในศาสนาคริสต์ อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานอื่นระบุว่าความเชื่อดังกล่าวไม่เกี่ยวกับศาสนา แต่อาจเป็นการแสดงท่าทางอย่างหนึ่งของชาวนอร์เวย์ หรือเป็นความเชื่อที่สร้างขึ้นโดยนักธนูในสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและ ฝรั่งเศสมากกว่า (นักยิงธนูจะใช้นิ้วทั้งสองเพื่อเหนี่ยวคันธนู)

6. กระจกเงาที่แตกร้าว
ความเชื่อโดยทั่วไปมีอยู่ว่า กระจกเงาที่แตกร้าวนั้นจะทำให้ผู้ใช้โชคร้ายไปถึง 7 ปี ความคิดนี้เชื่อมโยงกับไอเดียที่ว่ากระจกเงานั้นเป็นสิ่งที่กักเก็บดวง วิญญาณของคุณ ดังนั้นหากมันแตกออก นั่นหมายถึงดวงวิญญาณของคุณก็แตกด้วยเช่นกัน จึงเป็นสาเหตุที่วัฒนธรรมของบางท้องที่จะทำการคลุมกระจกเงา รวมถึงพื้นผิวของสิ่งต่างๆ ที่สามารถสะท้อนภาพได้ เพื่อให้ดวงวิญญาณสามารถออกจากบ้านได้โดยไม่ถูกกระจกเงากักเอาไว้เมื่อมีใคร สักคนในบ้านตายลง

7. วันกราวด์ฮ็อก
ความ เชื่อที่ว่าสัตว์จำพวกหนูขนาดใหญ่นั้นสามารถพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ (ถ้ามันจ้องมองเงาของตัวเองนั่นหมายถึงฤดูใบไม้ผลิจะเข้ามาเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่ก็แปลว่าจะเป็นฤดูหนาวอย่างน้อย 6 สัปดาห์) อาจฟังดูน่าหัวเราะ แต่นั่นก็ไม่ทำให้กิจกรรมนี้หมดความนิยมไปในสหรัฐฯ หรือแคนาดาได้ เนื่องมาจากตัวกราวด์ฮ็อกที่ดังที่สุดชื่อว่า  Punxsutawney Phil แห่งเพนซิลวาเนียได้เข้าไปอยู่ในภาพยนตร์จนเป็นที่นิยมอย่างล้นหลาม มีแฟนคลับติดตามการทำนายอยู่ตลอด โดยประเพณีการทำนายเงาเช่นนี้เริ่มจากความเชื่อของเยอรมันสมัยโบราณในเรื่อง ของวัน Candle mas ซึ่งความเชื่อดังกล่าวถูกนำเข้ามายังอเมริกาโดยผู้อพยพของเยอรมัน

แล้ว Punxsutawney Phil ตัวนี้ทำนายสภายอากาศได้แม่นยำแค่ไหนกัน? คำตอบคือ ค่อนข้างห่วย สถิติการทำนายของมันถูกต้องเพีย 39 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง

8. เกลือหก
เป็น ความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าการทำเกลือหกโดยไม่ตั้งใจนั้นถือเป็นลางบอกเหตุ ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น จากตำนานระบุว่าเป็นความเชื่อจากวัฒนธรรมของคริสเตียน โดย ยูดาส อิสคาริโอท หนึ่งในอัครทูตของพระเยซูได้ทำเกลือหกระหว่างอาหารมื้อสุดท้ายหรือที่เรียก ว่า The last supper ก่อนเขาจะทรยศพระเยซู โดยในความเป็นจริงแล้วก็มีคำบอกเล่าที่ฟังดูเข้าทีอยู่จนถึงปัจจุบันคือ เกลือนั้นมีราคาแพง ดังนั้นการทำเกลือหกก็แปลว่าโชคไม่ดีแล้ว นอกจากนี้ความเชื่อเรื่องเกลือหกยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและความ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งการที่คุณถูกเกลือหกใส่โดยฝีมือเจ้าของบ้านนั้นเป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย

กรณี ของเรื่องนี้ใกล้เคียงกับเรื่องแมวดำอย่างมาก เพราะการทำเกลือหกนั้นให้ผลเดียวกับการเจอแมวดำ สำหรับความเชื่ออื่นๆ มีอยู่ว่าการเหยาะเกลือข้ามไหล่ซ้ายจะทำให้โชคดี และเป็นการป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้

9. เลข 666
“Hexakosioihexekontahexaphobia” คือชื่อทางวิทยาศาสตร์ของโรคกลัวเลข 666 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อตัวเลขปีศาจ ความเชื่อลี้ลับนี้มาจากศาสนาคริสต์ โดยเชื่อว่าเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขแห่งซาตานในพระคัมภีร์ไบเบิล ความเชื่อนี้เริ่มเป็นแพร่หลายไปมากขึ้นจากภาพยนตร์เรื่อง The Omen (ตามภาพบน) และจากกรณีที่อดีตประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนได้เปลี่ยนบ้านเลขที่ของเขาหลังจากสิ้นสุดตำแหน่งประธานาธิบดีจาก 666 เป็น 668 แทน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจผิดมาตลอด เพราะในปี 2005 ได้มีผู้รู้ออกมาเปิดเผยหลักฐานว่าตัวเลขดังกล่าวนั้น แท้จริงต้องเป็นเลข 616 ไม่ใช่ 666 อย่างที่เข้าใจกันนั่นเอง

10. การลอดใต้บันได
การเดินลอดใต้บันไดนั้นเชื่อกันว่าจะทำให้เกิดเรื่องโชคร้าย แม้ว่าบางทฤษฎีจะเสนอว่านี่เป็นการกระทำเพื่อใช้บันไดแทนรูปสามเหลี่ยมที่ แสดงถึงพระตรีเอกภาพในศาสนาคริสต์ ที่ประกอบด้วยพระบิดา พระบุตร และพระจิต แต่คำอธิบายง่ายๆ ที่สมเหตุสมผลที่สุดคือการเดินลอดบันไดนั้นอาจเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุได้ นั่นเอง ซึ่งเป็นเพียงคำแนะนำเพื่อความปลอดภัย หาใช่เรื่องลี้ลับอะไรไม่

11. จดหมายลูกโซ่
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนาน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1888 จดหมายที่มีเนื้อหาเป็นเชิงคำสั่งว่าให้คัดลอกแล้วส่งต่อไปเรื่อยๆ มักจะมีคำเตือน หรือขู่ว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นหากผู้ทีได้รับจดหมายไม่ทำตาม (พร้อมยกตัวอย่างเรื่องร้ายๆ บางเรื่องที่จะเกิดขึ้นหากไม่ส่งต่อ) ซึ่งการพัฒนาขึ้นมาของอีเมล์และสังคมออนไลน์นั้นทำให้การส่งต่อข้อความใน จดหมายกลายเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้น จนทำให้จดหมายลูกโซ่แพร่หลายไปอย่างมาก ในขณะเดียวกันบางคนก็ใช้จดหมายพวกนี้หาเงินอย่างเจ้าเล่ห์ เหตุผลที่แท้จริงในการค้องส่งจดหมายลูกโซ่ต่อๆ กันไปนั้นยังคงคลุมเครือ... หรือจะเป็นเพราะเราแค่อยากเห็นว่าจดหมายจะกระจายไปได้ไกลแค่ไหนกันแน่

12.ผีเสื้อแม่มด
ผีเสื้อ แม่มด (The Black witch moth) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ascalapha odorata เป็นสัญลักษณ์แห่งความตายและความโชคร้ายประจำทะเลแคริเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ในเม็กซิโกเชื่อกันว่าหากผีเสื้อชนิดนี้บินเข้าไปในบ้านที่มีคนป่วยอยู่ นั่นหมายถึงความตายกำลังจะมาเยือนพวกเขาแล้ว ในจาไมก้านั้นเป็นที่รู้จักในชื่อ “Duppy Bat” และเชื่อกันว่ามันคือวิญญาณที่หลงทางซึ่งจะทำโชคร้ายมาให้ ทั้งนี้ ดูเหมือนผีเสื้อกลางคืนชนิดดังกล่าวจะเป็นผีเสื้อเพียงพันธุ์เดียวเท่านั้น ที่เกี่ยวโยงกับความเชื่อลี้ลับ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะในวัฒนธรรมของอเมริการกลาง ผีเสื้อกลางคืนทุกชนิดเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับความตายได้ทั้งสิ้น

ผีเสื้อ แม่มดดำนั้นยังปรากฏอยู่อย่างน่ากลัวในนวนิยายเรื่อง The Silence of the Lambs แต่ในเวอร์ชันภาพยนตร์นั้นใช้ผีเสื้อหัวกะโหลกแทนเพราะดูน่ากลัวกว่า

13. หมายเลข 13 
ต้น กำเนิดตำนานเลขโชคร้ายเบอร์ 13 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกนั้นยังไม่ชัดเจนนัก บางทฤษฎีระบุว่าเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับศาสนาคริสต์ (ซึ่งมาจาก The Last Supper เมื่อจูดาสกล่าวว่าเขาจะนั่งตรงตำแหน่งที่ 13 ของโต๊ะ), ตำนานไวกิ้ง (เทพผู้คดโกงนามโลกิเป็นเทพองค์ที่ 13 พอดี) และตำนานจักรราศีของเปอร์เซีย (ซึ่งมีสัญลักษณ์ 12 อัน โดยทิ้งอันที่ 13 ไว้เป็นตัวแทนแห่งความวุ่นวายและความขัดแย้ง) โดยเรื่องสยองขวัญของศุกร์ 13 นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยผนวกเอาความเชื่อลี้ลับสองประการเข้าด้วยกัน นั่นคือความน่ากลัวของเลข 13 และความเชื่อว่าวันศุกร์คือวันแห่งความโชคร้าย

โรคกลัวเลข 13 นั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า triskaidekaphobia นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่รู้กันดีว่าทำไมอาคารหลายแห่งจึงไม่มีชั้น 13 พอเลยจากชั้น 12 ก็ไปชั้น 14 เลย

(ใครอ่านจนครบ 13 ข้อ แล้วไม่ส่งต่อ ก็จะเกิด.... 555+ เอาทั้งเลข 13 และจดหมายลูกโซ่มารวมกันเลยครับ เรื่องจดหมายลูกโซ่ต้องยอมรับจดหมายในตำนานเลยครับ นั่นคือ จดหมายจากท่านพระครูธรรมโชติ )

ที่มา msn.com

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ