17 มีนาคม 2555

สเตียรอยด์

สาระจาก msn ครับ

รู้จักกับ สเตียรอยด์

มีคุณอนันต์-มีโทษมหันต์ น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ดีที่สุดของยาที่จัดอยู่ในประเภท œสเตียรอยด์

รู้จักกับ สเตียรอยด์
œมีคุณอนันต์-มีโทษมหันต์ น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ดีที่สุดของยาที่จัดอยู่ในประเภท œสเตียรอยด์ และจะว่าไปแล้วในสรีรวิทยาและการแพทย์ของมนุษย์ ก็มีสารสเตียรอยด์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอยู่หลายส่วน โดยบทบาทสำคัญของสเตอรอยด์ในระบบชีวิตส่วนใหญ่คือ การเป็นฮอร์โมน
สเตียรอยด์ เป็นชื่อเรียกของกลุ่มฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างจากต่อมหมวกไต ซึ่งสเตียรอยด์ที่ถูกสร้างขึ้นมีหลักๆ อยู่ 2 ชนิด คือ คอร์ติโซล (Cortisol) ซึ่งจะถูกหลั่งออกมาเมื่อร่างกายมีภาวะเครียดเกิดขึ้น เพื่อช่วยควบคุมภาวะเครียดหรือความกดดันเหล่านั้น และ อัลโดสเตอโรน (Aldosterone) ที่ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย หากมีอัลโดสเตอโรนหลั่ง ออกมามากเกินไปก็จะทำให้ร่างกายขับโปแตสเซียมออกมาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง และทำให้มีความดันโลหิตสูงได้
สำหรับสเตียรอยด์ที่ใช้เป็นยานั้น เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค รวมถึงใช้ทดแทนในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนดังกล่าวได้ ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงสเตียรอยด์เฉพาะในส่วนที่เป็น ยา เท่านั้น
สเตียรอยด์ อาจเรียกได้ว่าเป็นยามหัศจรรย์ โดยจากคุณสมบัติอันน่าทึ่งของยาประเภทนี้ทำให้มันถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ กันอย่างกว้างขวาง บางชนิดก็เป็นฮอร์โมนเพศ บางชนิดก็ควบคุมระบบ เมตาบอลิกของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน บางชนิดก็ควบคุมเกลือแร่ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสมบัติในการต้านการอักเสบของมัน ซึ่งทำให้นายแพทย์ฟิลลิป เฮนช์ ได้รับรางวัลโนเบล ในฐานะที่เป็นผู้นำยาคอร์ติโคสเตียรอยด์มาใช้รักษาโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ อย่างได้ผลดีมาก แต่ก็เพียงระยะแรกๆ เท่านั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปพบว่าคนไข้ที่กินคอร์ติโคสเตียรอยด์ในขนาดสูงๆ และเป็นเวลานาน จะมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น ซึ่งทำให้วงการแพทย์ต้องกลับมาทบทวนการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์กันใหม่อีก ครั้ง และนำมาสู่การควบคุมการใช้ยาชนิดนี้ในที่สุด
ตัวอย่างยากลุ่มสเตียรอยด์ ข้อสังเกตตัวยาที่มีสารสเตียรอยด์ก็คือ ชื่อยาส่วนใหญ่มักลงท้ายด้วย -one  หรือ -ol เสมอ เช่น Hydrocortisone Prednisolone Triamcinolone, Fluocinolone Betamethasone Clobetasol, Desoximetasone Prednicarbate, Mometasone, Beclomethasone Budesonide Dexamethason นอกจากนี้ ยาสเตียรอยด์มักถูกนำมาใช้กับผู้ป่วยที่เกี่ยวข้อกับโรคข้อ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลูปัส (SLE) โรคข้อเสื่อม โรคข้อสันหลังอักเสบชนิดติดยึด โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคไตอักเสบ โรคหืด โรคการอักเสบของระบบประสาท บางชนิด โรคเลือดบางชนิด เป็นต้น
อันตรายจากสเตียรอยด์ เนื่องจากสเตียรอยด์มีผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกายเกือบทุกระบบ การใช้สเตียรอยด์จึงอาจนำไปสู่อันตรายมากมาย ที่สำคัญได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อราได้ง่าย, มีผลทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารบางลง จึงเกิดแผลในกระเพาะได้ง่าย, ยับยั้งการเจริญเติบโตของร่างกาย จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังอย่างมากโดยเฉพาะกับเด็ก และกรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อร่วมด้วย ห้ามใช้สเตียรอยด์โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ การใช้สเตียรอยด์ยังมีผลทำให้กระดูกผุ ผิวหนังบาง และอาจทำให้มีอาการบวม ขนดก ผิวเข้มขึ้น เป็นต้น ซึ่งอันตรายจากยาสเตียรอยด์นั้น ส่วนมากมักเกิดจากการใช้ยาผิดขนาด การใช้โดยไม่มีความจำเป็นหรือการใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น รับประทานยาตอนท้องว่าง ใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจทำให้มีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น ต้องพึงระวังในการใช้ยาโดยเฉพาะยาลูกกลอนที่มักมีส่วนผสมของสเตียรอยด์
คำเตือน เนื่องจากยากลุ่มสเตียรอยด์มีความเป็นพิษสูงและเป็นอันตราย จึงต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้สั่งจ่ายเท่านั้น เนื่องจากก่อนที่แพทย์จะตัดสินใจใช้ยาสเตียรอยด์ ต้องคิดใคร่ครวญและชั่งน้ำหนักแล้วว่าประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับต้องมี มากกว่าผลร้ายจากอาการข้างเคียง จึงจะอนุญาตให้ใช้ยานี้ได้
ขนาดหมอจะ จ่ายยาสเตียรอยด์ยังคิดแล้วคิดอีก คนไข้เองเสียอีกที่ไม่ได้รู้เรื่องการแพทย์อะไรมากมายเลย แต่หลายท่านก็เก่งขนาดวินิจฉัยโรคตัวเองได้ แถมยังชอบซื้อยามากินเองอีกต่างหาก ดังนั้น หลายต่อหลายท่านเหล่านั้นจึงมักได้พิษภัยของสเตียรอยด์เป็นของแถมมาด้วยโดย ไม่รู้ตัว
ใช้ให้เป็น ก็เป็นคุณอเนกอนันต์ แต่ถ้าใช้แบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็ต้องเสี่ยงกับโทษมหันต์เป็นธรรมดา


ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน
ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info





...............................

16 มีนาคม 2555

แม่เป็นไมเกรนลูกจะเป็นโคลิค

สาระจาก msn ครับ
พบความเชื่อมโยง แม่ที่มีประวัติปวดหัวไมเกรน ลูกน้อยก็จะมีอาการโคลิค ร้องไห้ส่งเสียงดังโยเย


แม่เป็นไมเกรนลูกจะเป็นโคลิค
'โคลิค' ซึ่งเกิดขึ้นกับเด็กน้อยที่มีอายุระหว่าง 2-3 สัปดาห์ แต่จะหายไปเมื่อเด็กอายุเลยวัย 3 เดือนไปแล้ว  เด็กที่เป็นโคลิคจะสังเกตได้ง่าย จากอาการหน้าแดง กำมือแน่น ยกขาชูสูงขึ้นมาถึงหน้าอก ร้องไห้เสียงดังนานราว 2-3 ชั่วโมง อาการมักเกิดขึ้นหลังการกินนมผ่านไป 15 นาที
สำหรับสาเหตุของอาการโค ลิคนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่มักเชื่อว่า มีอากาศในท้องเด็กมากเกินไปโดยไม่ได้เรอออก ท้องของเด็กแน่นไปด้วยลมจนรู้สึกปวดท้อง นอกจากนี้ยังอาจเป็นเพราะลำไส้ของเด็กทำงานหนักเพื่อที่จะขับของเสียออกจน เริ่มเป็นตะคริว
ล่าสุด นักประสาทวิทยาในเด็ก ประจำศูนย์ศึกษาอาการปวดศีรษะ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก สหรัฐ นำโดย ดร.เอมี เกลแฟนด์ ออกมาเปิดเผยว่า คุณแม่ที่ในอดีตเคยมีประวัติปวดหัวไมเกรนมากกว่า 2 ครั้งต่อวันขึ้นไป มีส่วนทำให้ลูกน้อยวัยแบเบาะมีอาการโคลิค
จากกลุ่มตัวอย่าง แม่ 154 คน ที่มีลูกอ่อน พบว่า เด็กที่เป็นโคลิค ร้อยละ 29 มีแม่ที่เคยปวดหัวไมเกรน ขณะที่เด็กๆ อีกร้อยละ 11 ไม่เป็นโคลิคและแม่ของพวกเขาก็ไม่เคยปวดหัวไมเกรนมาก่อนด้วย
ไม่ใช่ สำรวจแต่กับแม่เท่านั้น ทีมวิจัยยังสอบถามกับพ่อเด็ก ทำให้ทราบอีกว่า เด็กเป็นโคลิค ร้อยละ 22 มีพ่อที่เคยปวดหัวไมเกรน ส่วนเด็กที่ไม่เป็นโคลิค ร้อยละ 11 นั้น ป๊ะป๋าไม่เคยปวดหัวไมเกรนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ผลของการวิจัยเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น หากมีผลวิจัยลงลึกเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างอาการปวดหัวไมเกรนของแม่กับ อาการโคลิคของลูกเพิ่มเติม มุมสุขภาพก็จะนำมาอัพเดทให้ทราบต่อไป แต่ระหว่างนี้ คุณแม่และคุณพ่อลูกอ่อนสามารถลองสำรวจอาการปวดไมเกรนของตนเอง แล้วดูสิว่า เจ้าตัวเล็กของคุณร้องไห้โยเยเข้าข่ายโคลิคหรือไม่
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




...............................

15 มีนาคม 2555

โคลิก เมื่อเด็กร้อง 3 เดือน

สาระจาก msn ครับ


โคลิก (Colic) ไม่ถือว่าเป็น โรค แต่เป็น อาการ ที่มักเกิดขึ้นกับทารกในช่วงอายุประมาณ 3 เดือนแรก และทำให้คุณพ่อคุณแม่มากมาย (โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่) ที่เจออาการนี้ต้องกลุ้มอกกลุ้มใจกันถ้วนหน้า จนบางคนกินไม่ได้นอนไม่หลับถึงกับป่วยไปเสียเองทีเดียว

อาการ
เนื่อง จากการร้องไห้ของเด็กทารกนั้นมาจากหลายสาเหตุ ทั้งจากความหิว ฉี่ อึ ปวดท้อง ท้องอืด เจ็บ ระคายเคือง หรือไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว สิ่งที่เด็กสื่อออกมาเพื่อบอกพ่อแม่ก็คือ ร้องไห้ ทั้งสิ้น ดังนั้น จะสังเกตได้อย่างไรว่าเด็กร้องแบบไหนคืออาการโคลิก และร้องแบบไหนมาจากเหตุผลของความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว?
ลักษณะที่ สังเกตได้ว่าเจ้าตัวน้อยของคุณกำลังเกิดอาการ โคลิก ก็คือ เจ้าหนูจะตั้งหน้าตั้งตาแผดร้องไห้ด้วยอารมณ์รุนแรงเหมือนโมโหสุดเหวี่ยง บางรายเรียกว่าตะเบ็งเสียงร้องอย่างเอาเป็นเอาตายทีเดียว ทั้งกำหมัดแน่น หน้าแดง หน้าท้อง แขน ขา งอและเกร็งจนน่ากลัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเริ่มเกิดเมื่อเด็กอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ และเป็นอยู่นานมากกว่า 3 เดือน โดยจะมีอาการเหล่านี้วันละประมาณ 3 ชั่วโมง (ระยะเวลาในการร้องของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายหรือเย็น) และเกิดขึ้นบ่อยๆ คือมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ โดยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในทารกเพศชายและเพศหญิง ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองและค่อย ๆ ดีขึ้นภายในอายุ 4 เดือน อย่างไรก็ตาม เด็กที่มีอาการโคลิกโดยที่ไม่ได้มีอาการผิดปกติของโรคอื่นใด จะสามารถทานนมได้เป็นปกติและยังคงมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี

สาเหตุ
อาการโคลิกในเด็กนี้ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้ชัดเจน เพียงแต่สันนิษฐานว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากหลาย ๆ ประการร่วมกัน ตั้งแต่ระบบทางเดินอาหาร จิตวิทยาระบบประสาทและพัฒนาการในทารกย อย่างไรก็ตามอาการโคลิกจะพบได้ในโรคหลายโรค แต่จะเป็นสาเหตุได้น้อยในโคลิก และโรคเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีอาการแบบเฉียบพลัน เช่น ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ท้องผูก แพ้นม การขย้อนหรือสำลักอาหาร แผลที่รูทวาร การติดเชื้อในร่างกาย เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ การได้รับอุบัติเหตุ เช่น กระดูกหัก แผลที่ตาดำ แมลงเข้าไปในหู เป็นต้น
เนื่องจากขณะที่ทารกร้องไห้จะมี ท่างอขาไปชิดหน้าท้อง ทำให้มีการสันนิษฐานอีกว่าทารกน่าจะมีความผิดปกติที่ระบบทางเดินอาหาร การที่ทารกร้องไห้มากๆ ทำให้มีการกลืนก๊าซเข้าไปลำไส้มาก เป็นผลให้แน่นท้อง ไม่สบายตัว นอกจากนี้ เนื่องจากยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของอาการนี้ ทำให้มีการสันนิษฐานว่า โคลิก เป็นอาการของเด็กทารกบางกลุ่ม ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่ œร้องไห้มากกว่าทารกทั่วไป เท่านั้น ซึ่งหากเป็นจริง การร้องไห้อย่างไม่ลืมหูลืมตาของเด็กกลุ่มนี้ ก็ถือว่าเป็น œเรื่องปกติ สำหรับพวกเขาแล้วล่ะ!

คำแนะนำ
คุณ พ่อคุณแม่ที่ต้องเผชิญกับอาการโคลิกของลูกน้อย ควรทำความเข้าใจและความความเครียดหรือความกังวลใจลงก่อนเป็นเบื้องต้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ระบบประสาทและการพัฒนาการต่างๆ ของลูกน้อยก็จะดีขึ้นและอาการโคลิกก็จะหายไปได้เองในที่สุด สิ่งที่พอจะช่วยบรรเทาให้ลูกน้อยคลายจากอาการนี้ได้บ้าง ก็คือ การสร้างบรรยากาศที่สงบและผ่อนคลายให้กับเด็ก เช่น เสียงเพลงบรรเลงเบาๆ  เสียงเพลงกล่อม รวมทั้งคำปลอบโยนเบาๆ โอบกอดให้เด็กสัมผัสรับรู้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมอกพ่อแม่ และพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ลูกน้อยเกิดอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวให้ มากที่สุด
ความจริงแล้ว หากการร้องของเด็กเกิดเพราะอาการโคลิก ก็คงไม่น่าห่วงมากนัก แต่สิ่งสำคัญคือเขาร้องเพราะโคลิกจริงหรือ? ซึ่งวิธีสังเกตอีกประการหนึ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ก็คือ หากเจ้าตัวน้อยของคุณมักมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน และมักมีอาการอย่างนี้ซ้ำๆ เป็นประจำ ก็อาจสันนิษฐานได้ว่านั่นคือการร้องแบบโคลิก อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่เด็กร้องอาจจะไม่ใช่ร้องแบบโคลิกทั้งหมด ดังนั้น ควรตรวจสอบหาสาเหตุในเบื้องต้นให้ชัดเจนก่อนจะสรุปสาเหตุจะดีกว่า หรือหากกังวลจริงๆ ก็ควรพาลูกไปพบกุมารแพทย์จะดีกว่าเพื่อความมั่นใจ

ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน
ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info




...............................

14 มีนาคม 2555

นวดผ่อนคลาย แก้ปวดเมื่อยเหมือนกินยา

สาระจาก msn ครับ


นวดผ่อนคลาย แก้ปวดเมื่อยเหมือนกินยา

ผู้ ที่มักจะมีอาการปวดเมื่อยเพราะกล้ามเนื้ออักเสบ อาจไม่ต้องพึ่งยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดเพียงหนทางเดียว เพราะนายแพทย์มาร์ค ทาโนโพลสกี้ จากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ในแคนาดา และทีมวิจัยพบว่า การนวดผ่อนคลายอย่างละมุนละไม ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อได้

การวิจัยจะดู ตัวอย่างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อของอาสาสมัครที่ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยาน จนปวดเมื่อย จากนั้นจึงไปนวดผ่อนคลายเพียง 10 นาที และหลังเสร็จจากการนวดผ่านไปนาน 2 ชั่วโมงครึ่ง ทีมวิจัยก็ได้พบว่า ความเมื่อยล้าของกลุ่มตัวอย่างนั้นหายไป

ทีมวิจัยเชื่อว่า การนวดผ่อนคลาย ที่มีลักษณะการกดคลึงอย่างถูกต้อง และลงน้ำหนักเหมาะสม ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของ 'ไมโทคอนเดรีย' หรือ แหล่งพลังงานเซลล์ ขึ้นมาใหม่ แต่ที่สำคัญคือ การนวดผ่อนคลายที่ดีสามารถส่งสัญญาณไปยังระบบภูมิคุ้มกันให้จัดการความเจ็บ ปวดในระดับโมเลกุล
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังเชื่อด้วยว่า การนวดในลักษณะที่ว่านี้ อาจมีประสิทธิภาพลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ  เหมือนกลไกลการออกฤทธิ์ของยาแก้อักเสบ จึงอาจเป็นผลดีสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหากล้ามเนื้อหรือกระดูกอักเสบ เรื้อรัง ได้มีทางเลือกการรักษาเสริมเข้ามาอีกทางภายใต้การควบคุมของแพทย์

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





...............................

13 มีนาคม 2555

คุมถูกวิธี การันตีไม่ท้อง

สาระจาก msn ครับ

คุมถูกวิธี การันตีไม่ท้อง

ที่ จริงแล้วการคุมกำเนิดมีหลากหลายวิธี ไม่ใช่แค่การใช้ถุงยางอนามัย ทานยาคุมกำเนิด หรือทำหมันเท่านั้น อีกทั้งการเลือกวิธีคุมกำเนิด ก็ไม่ควรพิจารณาเพียงแค่ความสะดวก เพราะบางวิธีต้องดูปัจจัยทางด้านสุขภาพของผู้ใช้ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่รู้ถึงความสำคัญในข้อนี้มาก่อน

บรรดาผู้เชี่ยว ชาญด้านการคุมกำเนิดทั้งจากออสเตรเลีย เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ และไทย จึงเผยวิธีการคุมกำเนิดแบบต่างๆ ไว้ในงานแถลงข่าว ฮอร์โมน..การคุมกำเนิด..หลากหลายทางเลือกที่เข้าใจ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้หญิง ภายในงานประชุมวิชาการระดับภูมิภาค MSD ASIA PACIFIC CONTRACEPTIVE SUMMIT 2012
โดยวิธีการคุมกำเนิดทั่วๆ ไป มีทั้งการขวางกั้น, ห่วงคุมกำเนิด, การคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมน, และการทำหมัน

สำหรับวิธีขวางกั้น เป็นวิธีการทางกายภาพ ป้องกันเชื้ออสุจิของผู้ชายไม่ให้เข้าไปในมดลูกและไปทำปฏิกิริยาถึงรังไข่ ของผู้หญิง นั่นก็คือ 'ถุงยางอนามัย' ที่มีทั้งของผู้ชายและผู้หญิง แถมยังช่วยป้องกันการติดเชื้อเอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ 'ฟองน้ำ' เป็นอุปกรณ์รูปร่างคล้ายโดนัททำด้วยโฟมนุ่มเคลือบด้วยสารฆ่าอสุจิ ใช้สอดเข้าไปในช่องคลอดของผู้หญิง
และ 'แผ่นครอบปากมดลูก, หมวกครอบปากมดลูก, และสิ่งปกป้องปากมดลูก' อุปกรณ์ขนาดเล็กรูปทรงครึ่งวงกลม สอดใส่ภายในช่องคลอดและครอบปากมดลูก ต้องสอดใส่อุปกรณ์ชนิดนี้โดยแพทย์ ใช้กับสารฆ่าอสุจิเช่นกัน

ส่วนวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine Device) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ไอยูดี แบบไม่ใช้ฮอร์โมน จะฝังในมดลูกโดยแพทย์ อาจเรียกว่า 'IUD ทองแดง' ซึ่งจะปล่อยทองแดงปริมาณเล็กน้อยเข้าไปในมดลูก ทองแดงนี้ป้องกันอสุจิไม่ให้ไปถึงรังไข่และผสมกับไข่ และเพื่อหยุดยั้งไข่ไม่ให้ฝังตัวที่เยื่อบุของมดลูก

ขณะที่วิธีคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมน มีทั้งการใช้ฮอร์โมนเดียว และฮอร์โมนรวม ส่วนฮอร์โมนที่ใช้ในวิธีนี้ คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน (คล้ายกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน) ช่วยป้องกันการปฏิสนธิ ทั้งในรูปแบบของวงแหวนช่องคลอด, ยาฝัง, ยาเม็ดคุมกำเนิด, ยาฉีด, และแผ่นแปะให้ยาซึมผ่านผิวหนัง วิธีนี้ใช้ฮอร์โมนป้องกันไม่ให้รังไข่ปล่อยไข่ออกมา และทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เยื่อบุมดลูกและเมือกที่ปากมดลูก เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิผสมกับไข่

สุดท้าย วิธีทำหมัน เป็นขั้นตอนปฏิบัติของการผ่าตัดที่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ สำหรับผู้หญิง จะเกี่ยวข้องกับการปิดท่อรังไข่อย่างถาวร เพื่อไม่ให้อสุจิเข้าไปถึงไข่ได้ และเรียกว่าการผูกท่อ ส่วนผู้ชาย  ท่อที่พาเชื้ออสุจิจากอัณฑะไปยังองคชาติจะถูกตัดและผูกในการผ่าตัด เรียกว่า การตัดหลอดนำอสุจิ
อย่างไรก็ตาม ผศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อทางนรีเวชวิทยาและโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์สตรี ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า การคุมกำเนิดแต่ละวิธีข้างต้น มีประสิทธิภาพต่างกัน คุมกำเนิดได้ระยะสั้น-ระยะยาว โดยก่อนตัดสินใจเลือกใช้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด ส่วนจะมีปัจจัยใดบ้างที่แพทย์ใช้นำมาเป็นหลักเลือกวิธีคุมกำเนิด ชมได้ทางคลิปประกอบ

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





...............................

12 มีนาคม 2555

สอบปลายภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554

วันนี้เป็นวันแรกของการสอบปลายภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554

โดยบางวิชาก็ได้ทำการทดสอบนอกตารางไปแล้ว

นักเรียนบางคนก็ขมีขมันกับการเตรียมตัวสอบ ในขณะที่บางคน ก็ยังทำตัวเป็นปูนปั้น ไม่รู้หนาว รู้ร้อน ไม่รู้จะเดินไปทางไหนต่อ งานก็ไม่ทำ ไม่ยอมส่ง แถมผลการเรียนที่ติด 0 ติด ร ยังติดตัวมาไม่ยอมแก้ไขให้หลุดพ้น

นั่นคือชะตากรรม ที่ต้องติดตามกันต่อไป





...............................

10 มีนาคม 2555

ร้อนนี้หันมาดื่มน้ำเปล่าขณะออกกำลังกายกันดีกว่า

สาระจาก msn ครับ


 การจิบน้ำเล็กน้อยขณะพักจะช่วยให้มีแรงเล่นต่อไปได้อีก ซึ่งน้ำที่ดีที่สุดขณะออกกำลังกายคือ œน้ำเปล่า ที่ ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เร็วที่สุด โดยน้ำจะช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย ปรับระดับความดันโลหิต ช่วยลำเลียงอาหาร และออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ขณะเล่นกีฬาได้เป็นอย่างดี

ประมาณ70%ใน ร่างกายประกอบด้วยน้ำ ดังนั้น ถ้าคุณขาดน้ำเพียง 3 วันก็อาจถึงตายได้ เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญรองจากอากาศ โดยร่างกายต้องการน้ำวันละประมาณ 2.5 ลิตร ในขณะที่เราสูญเสียน้ำวันละ 2.5 ลิตร จาก
1500 cc เป็น ปัสสาวะ
500 cc เป็น เหงื่อ
300 cc เป็น ละอองน้ำในการหายใจออก
200 cc เป็น อุจจาระ

หากร่าง กายขาดน้ำรื้อรัง(ดื่มน้ำน้อย) ทุกระบบการทำงานของร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ สารพิษในร่างกายเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อไม่มีแรง ผิวหนังจะแห้ง ระบบย่อยอาหารพึ่งน้ำในทุกระดับ การเผาผลาญอาหารต้องมีน้ำเป็นตัวกลาง น้ำพาสารต่างๆไปให้เซลล์ สุขถาพที่ดี และการหยุดยั้งความชราขึ้นอยู่กับน้ำ ซึ่งคุณควรให้น้ำดื่มที่ดีที่สุดกับร่างกายท่านอย่างเพียงพอ

พญ.สิ รนิสถ์ ประพันธ์ศิลป์ แพทย์สาขาอายุรกรรมทั่วไป แผนกประกันสังคม รพ.กล้วยน้ำไท 1 แนะนำว่า œน้ำดื่มบริสุทธิ์จะเคลื่อนตัวสู่กระเพาะอาหาร และดูดซึมในลำไส้ได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มทั่วไปที่มักจะมี ปริมาณน้ำตาลสูงกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ เครื่องดื่มเหล่านี้จะดูดซึมได้ช้า ทำให้รู้สึกจุก เสียด ท้องอืด และทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง ยิ่งถ้าเป็นน้ำอัดลม ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะทำให้กระเพาะอาหารขยายตัวเบียดกล้ามเนื้อกระบังลม ทำให้ปอดขยายได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้หายใจไม่อิ่ม และหมดแรงเร็วขึ้น นอกจากนี้กระเพาะอาหารที่ขยายใหญ่ขึ้นทำให้รู้สึกจุกแน่นขณะออกกำลังกาย

ดื่มอย่างไรให้ถูกวิธี ?
การ ดื่มน้ำในขณะออกกำลังกายและรู้สึกเหนื่อยจัด ไม่ควรดื่มน้ำมากกว่าครั้งละ 2 แก้ว เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกิน (Water intoxication) ทำให้รู้สึกเวียนศีรษะ และปวดร้าวในสมอง
ทั้งนี้ในคุณควรดื่มน้ำเปล่า ไม่เกิน 1 แก้ว ก่อนออกกำลังกายประมาณ 10 นาที และอาจจิบน้ำเล็กน้อยทุกๆ 10-15 นาที ถ้ารู้สึกกระหายน้ำขณะออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ควรเกิน 1 แก้ว (ภายใน 1 ชั่วโมง) และที่สำคัญคือการดื่มน้ำให้ได้ 2 แก้ว หลังจากที่ออกกำลังกายเรียบร้อยแล้ว 30 นาที

สูญเสียเหงื่อ = สูญเสียเกลือแร่?
การ เสียเหงื่อจะเป็นการเสียน้ำมากกว่าเสียเกลือ เนื่องจากความเข้มข้นของเกลือในเลือดอยู่ที่ประมาณ 0.9 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่มีเหงื่ออยู่ที่ประมาณ 0.12-0.4 เปอร์เซ็นต์ และไม่พบว่ามีการสูญเสียโพแทสเซียม (Potassium) จึงไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำเกลือแร่
น้ำดื่มผสมเกลือแร่ทั่วไป ที่ขายในท้องตลาดมักมีปริมาณกลูโคสสูงกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะดูดซึมได้ช้า ทำให้ร่างกายได้รับน้ำช้ากว่าการดื่มน้ำเปล่า ถ้าจิบขณะออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกจุกได้ง่าย
อากาศร้อนอย่างนี้ หันมาดูแลสุขภาพให้ดีด้วยการดื่มน้ำเปล่าที่ช่วยให้สดชื่นขึ้นขณะออกกำลัง กาย และยังไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก ช่วยให้หุ่นสวยเพรียว ฟิต แอนด์ เฟิร์มกันเถอะค่ะ


ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน
ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info





...............................

09 มีนาคม 2555

วิทยากร "การใช้สารสนเทศสำหรับนักสารสนเทศ" มรพส วันที่สอง

ครูแชมป์ มาเป็นวิทยากร การใช้สารสนเทศสำหรับนักสารสนเทศ วันที่สองครับ







ความเห็นของน้องๆที่มีต่อการอบรมในครั้งนี้

ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.seal2thai.org/sara/sara245.htm



...............................
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ