01 กรกฎาคม 2553

ประโยชน์ของการสวดมนต์ (ทางการแพทย์) ตอนที่ 1

ประโยชน์ของการสวดมนต์ (ทางการแพทย์)

เรื่อง Vibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด

เชื่อหรือไม่ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้

การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจากสวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต

ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???

คลื่นแห่งการเยียวยา

การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียง บทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย

เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์

รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้

“สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้นซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน

นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อ ประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการ ทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น”

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า

“หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”

และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์

30 มิถุนายน 2553

กีฬาสีวันที่ 2 และเลี้ยงต้อนรับสู่โรงเรียนใหม่

วันนี้เป็นการแข่งขันกีฬาสีวันที่ 2 เป็นการแข่งขันเล็กๆ และกีฬาพื้นบ้าน เด็กๆก็สนุกสนานตามประสา
ส่วนครูบ้านนอก ก็ต้องไปตามหนังสือที่ สพท. พิษณุโลก เขต 1 ...ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ไปประชุมด่วน!!!! ไม่มีใครอยู่เลย
สงสัยต้องรอวันพรุ่งนี้ละครับ

ตอนเที่ยง ก็ไปที่ร้านใบตอง อยู่เยื้องๆหน้ามหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นงานเลี้ยงต้อนรับผมเอง....
มาชมภาพกันนะครับ










เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็มีการแสดงของอาจารย์ป้า (ครูสว่าง) สุดยอดครูภูมิปัญญาวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมีการแสดงลำตัดเล็กๆน้อยๆ ... ชมกันนะครับ

29 มิถุนายน 2553

แข่งกีฬาสีวันแรก


โรงเรียนวัดยางแขวนอู่ ได้มีการจัดการแข่งขันกีฬาสีภายใน ต้านยาเสพติด ระหว่างวันที่ 29 - 30 มิถุนายน 2553


โดยประเภทกีฬาแบ่งเป็น กรีฑา และกีฬาพื้นบ้าน เป็นการสานสัมพันธ์ และการเรียนรู้ที่จะมีน้ำใจนักกีฬา

28 มิถุนายน 2553

วันแรกของโรงเรียนใหม่ ชีวิตราชการที่ต้องก้าวไปอีกขั้น

วันนี้เป็นวันแรกของการปฏิบัติราชการ ณ โรงเรียนแห่งใหม่

ผมออกจากหอพัก แล้วเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์เวลาประมาณ 07.00 น.
ขับขี่ไปเรื่อยๆ แต่คงไม่สามารถเพิลดเพลินไปกับบรรยากาศข้างทางได้ เพราะบรรดารถบรรทุก รถยนต์ และรถน้ำมัน คอยเตือนให้มีสติตลอดเวลา

ตอนนี้ประมาณว่า คาถาบทสวดใดนึกได้ ก็นึกตลอดทาง แม้แต่คาถาชินบัญชร...

ใช้เวลาประมาณ 35 นาที ถึงโรงเรียน เมื่อมาถึงโรงเรียน ก็มีนักเรียนมาแล้วส่วนใหญ่ แต่ความรู้สึกในตอนนั้น ส่วนใหญ่แล้วนะเนี่ย ทำไมเหมือนโรงเรียนปิดเทอมจัง .... เงียบมากๆๆๆๆๆ

เอาหละ ต่อไปก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สมกับดังที่ความไว้วางใจของหลายๆท่านมอบหมายให้มา

25 มิถุนายน 2553

รายงานตัวโรงเรียนใหม่ และการเลี้ยงขอบคุณ

วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางมายังโรงเรียนใหม่ หลังจากที่ได้อำลาอาลัยกับเด้กๆนักเรียน ตั้งใจว่าจะไม่เสียน้ำตา แต่ความซาบซึ้งก็ทำให้อดกลั้นไว้ไม่ไหว

ขอบคุณนะครับ นักเรียนอ่อนวิมลราษฎร์วิทยา ทุกคน


เมื่อได้เดินทางมาถึง ณ โรงเรียนวัดยางแขวนอู่ อำเภอบางระกำ ก็ได้รับการต้อนรับจากพี่ๆครูในโรงเรียนอย่างอบอุ่น

จากนั้น ก็เลี้ยงขอบคุณบรรดาพี่ๆและนักเรียนบางส่วนที่ติดตามมาส่งที่ร้าน นาธิป บรรยากาศกันเอง ทั้งดีใจที่ได้ย้ายสมใจ และเสียใจที่ต้องจากลาเพื่อนร่วมงานที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา

คุณลองร่วมทำงาน ร่วมเป็นร่วมตายกับใครมาสักคน แล้วคุณจะเข้าใจว่า เป็นการยากแค่ไหนที่ต้องจากกัน

24 มิถุนายน 2553

เลี้ยงอำลา

แม้ว่าการย้ายจะเป็นสิ่งที่ปรารถนา
แต่การจากลาก็เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ

จากลาจากคนที่รัก
จากลาจากห้องที่เคยสอน
จากลาจากนักเรียนที่ดื้อ ซน เกเร แต่เวลาที่สั่งสอนก็ตั้งใจฟัง

ความเหนื่อย และการที่ทรมานจากการรอคอย มันทำให้เกิดความรู้สึกสับสน

ทรมานแสบสนจริงๆครับ

18 มิถุนายน 2553

นั่งทำ smis จนปวดคอ เลยเอาวิธีคลายปวดมาฝากครับ

วันนี้นั่งทำ smis ตั้งแต่เช้า
เหนื่อยเหมือนกันครับ ตอนเย็นเกือนกลับไม่ทัน บิดมอเตอร์ไซต์สุดๆ พอมาถึงนั่งกินน้ำอัดลมไม่ถึง 5 บาท (จากขวดราคา 10 บาท) รถเมล์ก็มา

ตอนเย็นๆรู้สึกปวดไหล่ เหมือนมีอาการคอเคล็ดเล็กน้อย เลยลองหาข้อมูลเคล็ดลับบรรเทาอาการคอเคล็ดมาฝากครับ


วิธีแก้อาการคอเคล็ด

บีบนวดคลายกล้ามเนื้อลงบนแนวของกล้ามเนื้อที่รู้สึกปวดเมื่อย หรือนอนราบ เพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก

ใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำอุ่น ประคบบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอที่เคล็ด ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วนวดเบาๆตรงบริเวณคอ เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว

ใช้มือช่วยดัน ศีรษะไปในทิศทางที่เกิดอาการตึงช้าๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อย ดันค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง จนรู้สึกว่าอาการทุเลาลง

รับประทาน ยาจำพวกคลายกล้ามเนื้อ คลายเส้นประสาท เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น

วิธี ง่ายๆลองทำดู.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

17 มิถุนายน 2553

พิธีไหว้ครู



การไหว้ครู เป็นสิ่งที่เราคนไทย และหลายๆชาติได้ปฏิบัติสืบต่อๆกันมา
ศิษย์ไม่มีครู ก็เหมือนงูไม่มีเขี้ยว จะป้องกันตนเองก็ไม่ได้ ดังนั้น เราจะต้องมีการฝากตัวเป็นศิษย์ แสดงความเคารพและเจตนาที่จะร่ำเรียนวิชาความรู้

เมื่อก่อน ผู้อยากได้วิชาความรู้ ต้องดั่งด้นไปแสวงหาครูบาอาจารย์

แต่ปัจจุบัน การศึกษาเป็นภาคบังคับ การเล่าเรียนจึงเหมือนกับว่า ทุกคนต้องเข้าเรียน ความยากเย็นในการฝากตัวเป็นศิษย์อาจลดลงไป แต่ความเมตตาของครูบาอาจารย์ก็ยังคงไม่อยู่ มากน้อยก็ต่างกันในตัวของแต่ละบุคคล

โรงเรียนได้จัดกิจกรรมไหว้ครู เพื่อให้นักเรียนได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ได้ระลึกถึงพระคุณครู และเตือนตนว่า จะตั้งใจเรียนศิลปวิทยาด้วยความเคารพ

ไม่มีครู...
....ไม่มีเราในวันนี้

มาชมภาพในพิธีดีกว่าครับ






























ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ