หลังจากที่ดีใจเนื้อเต้นมาหลายวัน
เพราะว่า adsense ได้วันลาหลายเหรียญ แบบว่าเร็วมากๆ โอย สุดยอดครับ
พอมาถึงวันนี้ก็ลดลง
เข้าใจว่าเพราะเด็กสอบ o-net กันแล้ว จึงไม่ได้เข้ามาเว็บ
ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาไทยนะเนี่ย ว้าว สุดยอดเลย
04 กุมภาพันธ์ 2553
03 กุมภาพันธ์ 2553
ยาดีตีไม่เจ็บ (ทำไมครูยังต้องตี)
ยาดี ถูกครูตีไม่เจ็บ
ไปซื้อมาจากร้านเกมส์ แล้วมาทดลองกินกัน กินแล้วให้เพื่อนต่อย ปรากฎว่ายังเจ็บ
...ก็กินเพิ่มอีก แล้วลองอีก ก็ยังเจ็บ
สงสัยยาออกฤทธิ์ช้า ผ่านไปสักพัก เริ่มมึน เหอะๆๆๆๆ
สังคมไทยกำลังเป็นอะไรไป เด็กนักเรียนไม่สนใจเรียน หนีไปเล่นเกมส์ แล้วกลัวถูกครูตี จึงหาวิธี"ครูตีแล้วไม่เจ็บ"
นักข่าวบางคนบอกว่า "สมัยนี้ ยังมีการลงโทษแบบนี้อยู่เหรอ"
คุณลองมาสอนสักวันสิครับ แล้วจะรู้ว่า...
...นักเรียนไม่สนใจเรียน เพราะมีกฎห้ามซ้ำชั้น
...นักเรียนกล้าชก ผอ. เพราะมีกฎห้ามตี หักไม่เรียวทิ้ง
...นักเรียนไม่ตั้งใจสอบ ทั้งในระดับโรงเรียน หรือระดับชาติ เพราะคิดว่า เดี๋ยวครูก็ให้ผ่าน เพราะหากเด็กสอบตกมาก เด้กมีผลสัมฤทธิ์ต่ำ เป็นความผิดของครู ทั้งๆที่เด็กไม่ทำงาน ไม่ส่งการบ้าน แม้แต่การปลูกถั่วงอกมาส่ง ก้ไม่ทำ เรียกผู้ปกครองมาพบ ก็ไม่กลัว
แล้วแบบนี้ สังคมไทยจะเป็นอย่างไรครับ
เจตนาที่ครูตี เพราะอยากให้หลาบจำ
ไม่ใช่ต้องการให้เด้กเจ็บปวดแล้วสะใจ ผมถามจริงๆ คนที่เป็นใหญ่เป็นโต แม่แต่นักข่าวอย่างคุณ (คนที่พูด) คุณไม่เคยถูกตีหรือ คุณไม่ได้ดีจากไม้เรียวครูหรือ ผมเองก็ยังเคยถูกตี และเราก็มีสติในการทำงานครั้งต่อไป ผมเลยมีวันนี้ มีวันทีได้เป็นข้าราชการครูตั้งแต่อายุ 23 (เข้าเรียนอนุบาลตามเกณฑ์) ผมจำได้ ตอนรับพระราชทานปริญญาบัตร มีคนรุ่นเดียวกันสวมชุดขาวเพียงไม่กี่คน (ไม่ถึง 10 คน) ผมโชคดีมาที่ได้สวมชุดปกติขาวดังใจ
ผมได้ดีเพราะมีครู ได้รู้เพราะครูตี ไม่อัปรีย์เพราะครูสอน ไม่นอนกิน(ชาติ) เพราะครูดี
ไปซื้อมาจากร้านเกมส์ แล้วมาทดลองกินกัน กินแล้วให้เพื่อนต่อย ปรากฎว่ายังเจ็บ
...ก็กินเพิ่มอีก แล้วลองอีก ก็ยังเจ็บ
สงสัยยาออกฤทธิ์ช้า ผ่านไปสักพัก เริ่มมึน เหอะๆๆๆๆ
สังคมไทยกำลังเป็นอะไรไป เด็กนักเรียนไม่สนใจเรียน หนีไปเล่นเกมส์ แล้วกลัวถูกครูตี จึงหาวิธี"ครูตีแล้วไม่เจ็บ"
นักข่าวบางคนบอกว่า "สมัยนี้ ยังมีการลงโทษแบบนี้อยู่เหรอ"
คุณลองมาสอนสักวันสิครับ แล้วจะรู้ว่า...
...นักเรียนไม่สนใจเรียน เพราะมีกฎห้ามซ้ำชั้น
...นักเรียนกล้าชก ผอ. เพราะมีกฎห้ามตี หักไม่เรียวทิ้ง
...นักเรียนไม่ตั้งใจสอบ ทั้งในระดับโรงเรียน หรือระดับชาติ เพราะคิดว่า เดี๋ยวครูก็ให้ผ่าน เพราะหากเด็กสอบตกมาก เด้กมีผลสัมฤทธิ์ต่ำ เป็นความผิดของครู ทั้งๆที่เด็กไม่ทำงาน ไม่ส่งการบ้าน แม้แต่การปลูกถั่วงอกมาส่ง ก้ไม่ทำ เรียกผู้ปกครองมาพบ ก็ไม่กลัว
แล้วแบบนี้ สังคมไทยจะเป็นอย่างไรครับ
เจตนาที่ครูตี เพราะอยากให้หลาบจำ
ไม่ใช่ต้องการให้เด้กเจ็บปวดแล้วสะใจ ผมถามจริงๆ คนที่เป็นใหญ่เป็นโต แม่แต่นักข่าวอย่างคุณ (คนที่พูด) คุณไม่เคยถูกตีหรือ คุณไม่ได้ดีจากไม้เรียวครูหรือ ผมเองก็ยังเคยถูกตี และเราก็มีสติในการทำงานครั้งต่อไป ผมเลยมีวันนี้ มีวันทีได้เป็นข้าราชการครูตั้งแต่อายุ 23 (เข้าเรียนอนุบาลตามเกณฑ์) ผมจำได้ ตอนรับพระราชทานปริญญาบัตร มีคนรุ่นเดียวกันสวมชุดขาวเพียงไม่กี่คน (ไม่ถึง 10 คน) ผมโชคดีมาที่ได้สวมชุดปกติขาวดังใจ
ผมได้ดีเพราะมีครู ได้รู้เพราะครูตี ไม่อัปรีย์เพราะครูสอน ไม่นอนกิน(ชาติ) เพราะครูดี
02 กุมภาพันธ์ 2553
ภาษาอังกฤษทางธุรกิจที่ใช้กันผิดบ่อยๆ
ภาษาอังกฤษทางธุรกิจที่ใช้กันผิดบ่อยๆ
ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจอย่างปัจจุบันนี้ คุณต้องหาข้อเป็นต่อให้มากเท่าที่จะหาได้ไว้ดีกว่า การพูดภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องจะทำให้คุณก้าวนำคนอื่นอย่างมั่นใจ คิดว่ายากเกินไปเหรอ? ไม่เลย ! ลองอ่านดูข้อที่คู่แข่งขันคุณใช้ผิดบ่อยๆ แล้วจำคำที่ถูกไปใช้ได้ทันที
Personal vs. Personnel
สังเกตการสะกดคำและการเน้นเสียงของสองคำนี้! "Personnel" เป็นคำนามหมายถึงพนักงานในบริษัท เช่น"Our company has the best personnel in the industry." การเน้นเสียงจะเน้นพยางค์ท้ายของคำ ส่วน"Personal" เป็นคำ adjective หมายถึงส่วนตัวหรือส่วนบุคคล เช่น "I'm requesting a day of annual leave for personal reasons." การเน้นเสียงจะเน้นที่พยางค์แรกของคำ แล้วถ้าคุณไม่ระวัง คุณอาจถูกเรียกตัวเข้าประชุม "personal meeting" ไม่ใช่ "personnel meeting." อย่างที่ควรจะเป็น
Executive
"executive" หมายถึงคนที่มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารของบริษัท ถ้าคุณต้องแนะนำ executives ระดับสูงให้แก่แขกหรือลูกค้า ก็ระวังการเน้นเสียงของคำนี้ให้ดี ! อย่าไปเน้นเสียงตรงอักษร "u" เพราะไม่อย่างนั้นคำว่า "executive" จะออกเสียงเหมือนกับคำว่า "execute" ซึ่งแปลว่าฆ่าหรือประหารชีวิต
Present? Presentate? Presentation?
คุณ present(เสนอ)รายงานข้อมูลเมื่อคุณให้ presentation(การ นำเสนองาน) คำว่าPresent เป็น verb หมายถึงแนะนำบางสิ่งให้เป็นที่รู้จักหรือกล่าวถึงบางสิ่งให้เป็นที่สนใจแก่ คนอื่น ส่วนคำว่า presentationเป็นการเรียกกระบวนการนำเสนอหรือการ แนะนำข้อมูลใหม่ในทางธุรกิจ มีคนมากมาย(รวมทั้งเจ้าของภาษาบางคนด้วย)ที่คิดว่า "presentate" เป็น verb ของคำว่า "presentation." คุณอย่าคิดผิดอย่างนั้นด้วยก็แล้วกัน เพราะคำนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษ !
"I look forward to hearing from you."
ประโยคนี้ใช้กันบ่อยในการลงท้ายจดหมายทางธุรกิจ แต่คนมักใช้ผิดเป็น"I look forward to hear from you." ซึ่งไม่ถูกหลักไวยากรณ์และฟังดูตลกๆ สำหรับคนอ่านที่เป็นเจ้าของภาษา ที่ถูกต้องคือคำกิริยา "hear" ในประโยคนี้ต้องต่อท้ายด้วย "ing" เสมอ ดังนี้ "I look forward to hearing from you."
Headquarters and Information
มีคนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่มากมายที่สะกดสองคำนี้ผิดโดยการตัด"s" ออกจาก "headquarters" แต่ไปเติม "s"ใน"information" ที่ถูกต้องคือ Headquartersซึ่งคำนี้เป็นคำนามเอกพจน์หมายถึงสำนัก งานใหญ่ของบริษัท เช่น "I'm going to headquarters this weekend to meet with the CEO." คำว่า Headquarters อาจสับสนหน่อยเพราะถึงแม้ว่าจะลงท้ายด้วย "s" แต่มันก็ไม่ใช่พหูพจน์ ! ถ้าคุณตัด "s" ออกจากคำว่า headquarters คำนี้จะเปลี่ยนเป็นคำกิริยา "to headquarter" ทันที ในทางตรงกันข้าม การเติม"s" เข้าที่ information นั้นไม่ถูกต้อง คนส่วนใหญ่คิดว่าถ้าเขาต้องการข้อมูล(information)มากมาย ก็ควรทำให้คำนี้เป็นพหูพจน์ เช่น "I need informations on overseas study programs." แต่ตามความเป็นจริงที่ถูกต้องแล้ว คำว่า information เป็นคำนามที่นับไม่ได้ (ไม่มีรูปพหูพจน์) เพราะฉะนั้น คุณต้องพูดเพียงว่า "I need some information."
ที่มา http://englishtown.msn.co.th
ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจอย่างปัจจุบันนี้ คุณต้องหาข้อเป็นต่อให้มากเท่าที่จะหาได้ไว้ดีกว่า การพูดภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องจะทำให้คุณก้าวนำคนอื่นอย่างมั่นใจ คิดว่ายากเกินไปเหรอ? ไม่เลย ! ลองอ่านดูข้อที่คู่แข่งขันคุณใช้ผิดบ่อยๆ แล้วจำคำที่ถูกไปใช้ได้ทันที
Personal vs. Personnel
สังเกตการสะกดคำและการเน้นเสียงของสองคำนี้! "Personnel" เป็นคำนามหมายถึงพนักงานในบริษัท เช่น"Our company has the best personnel in the industry." การเน้นเสียงจะเน้นพยางค์ท้ายของคำ ส่วน"Personal" เป็นคำ adjective หมายถึงส่วนตัวหรือส่วนบุคคล เช่น "I'm requesting a day of annual leave for personal reasons." การเน้นเสียงจะเน้นที่พยางค์แรกของคำ แล้วถ้าคุณไม่ระวัง คุณอาจถูกเรียกตัวเข้าประชุม "personal meeting" ไม่ใช่ "personnel meeting." อย่างที่ควรจะเป็น
Executive
"executive" หมายถึงคนที่มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารของบริษัท ถ้าคุณต้องแนะนำ executives ระดับสูงให้แก่แขกหรือลูกค้า ก็ระวังการเน้นเสียงของคำนี้ให้ดี ! อย่าไปเน้นเสียงตรงอักษร "u" เพราะไม่อย่างนั้นคำว่า "executive" จะออกเสียงเหมือนกับคำว่า "execute" ซึ่งแปลว่าฆ่าหรือประหารชีวิต
Present? Presentate? Presentation?
คุณ present(เสนอ)รายงานข้อมูลเมื่อคุณให้ presentation(การ นำเสนองาน) คำว่าPresent เป็น verb หมายถึงแนะนำบางสิ่งให้เป็นที่รู้จักหรือกล่าวถึงบางสิ่งให้เป็นที่สนใจแก่ คนอื่น ส่วนคำว่า presentationเป็นการเรียกกระบวนการนำเสนอหรือการ แนะนำข้อมูลใหม่ในทางธุรกิจ มีคนมากมาย(รวมทั้งเจ้าของภาษาบางคนด้วย)ที่คิดว่า "presentate" เป็น verb ของคำว่า "presentation." คุณอย่าคิดผิดอย่างนั้นด้วยก็แล้วกัน เพราะคำนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษ !
"I look forward to hearing from you."
ประโยคนี้ใช้กันบ่อยในการลงท้ายจดหมายทางธุรกิจ แต่คนมักใช้ผิดเป็น"I look forward to hear from you." ซึ่งไม่ถูกหลักไวยากรณ์และฟังดูตลกๆ สำหรับคนอ่านที่เป็นเจ้าของภาษา ที่ถูกต้องคือคำกิริยา "hear" ในประโยคนี้ต้องต่อท้ายด้วย "ing" เสมอ ดังนี้ "I look forward to hearing from you."
Headquarters and Information
มีคนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่มากมายที่สะกดสองคำนี้ผิดโดยการตัด"s" ออกจาก "headquarters" แต่ไปเติม "s"ใน"information" ที่ถูกต้องคือ Headquartersซึ่งคำนี้เป็นคำนามเอกพจน์หมายถึงสำนัก งานใหญ่ของบริษัท เช่น "I'm going to headquarters this weekend to meet with the CEO." คำว่า Headquarters อาจสับสนหน่อยเพราะถึงแม้ว่าจะลงท้ายด้วย "s" แต่มันก็ไม่ใช่พหูพจน์ ! ถ้าคุณตัด "s" ออกจากคำว่า headquarters คำนี้จะเปลี่ยนเป็นคำกิริยา "to headquarter" ทันที ในทางตรงกันข้าม การเติม"s" เข้าที่ information นั้นไม่ถูกต้อง คนส่วนใหญ่คิดว่าถ้าเขาต้องการข้อมูล(information)มากมาย ก็ควรทำให้คำนี้เป็นพหูพจน์ เช่น "I need informations on overseas study programs." แต่ตามความเป็นจริงที่ถูกต้องแล้ว คำว่า information เป็นคำนามที่นับไม่ได้ (ไม่มีรูปพหูพจน์) เพราะฉะนั้น คุณต้องพูดเพียงว่า "I need some information."
ที่มา http://englishtown.msn.co.th
01 กุมภาพันธ์ 2553
ฤกษ์ดี ปี 2553
วันนี้เอาฤกษ์ดี ตลอดปี 2553
ทั้งฤกษ์แต่งงาน
ฤกษ์บวช
ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่
ฯลฯ
ดูได้ที่ http://www.seal2thai.org/sara/sara203.htm
http://www.seal2thai.org/sara/sara202.htm
http://www.seal2thai.org/sara/sara201.htm
ทั้งฤกษ์แต่งงาน
ฤกษ์บวช
ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่
ฯลฯ
ดูได้ที่ http://www.seal2thai.org/sara/sara203.htm
http://www.seal2thai.org/sara/sara202.htm
http://www.seal2thai.org/sara/sara201.htm
31 มกราคม 2553
ไปวัดหนองบัว โพธิ์ประทับช้าง
วันนี้ไปวัดหนองบัว โพธิ์ประทับช้างมาครับ
สภาพเปลี่ยนไปมาก ไม่ได้ไปมาเกือบปี แต่พี่สาวของพระอาจารย์ และพระอาจารย์ยังจำได้อยู่
ดีใจครับ
เรื่องดวงเหมือนเดิม
สภาพเปลี่ยนไปมาก ไม่ได้ไปมาเกือบปี แต่พี่สาวของพระอาจารย์ และพระอาจารย์ยังจำได้อยู่
ดีใจครับ
เรื่องดวงเหมือนเดิม
30 มกราคม 2553
เหยือกชีวิต
หากเหยือกคือชีวิตของคุณ มันเต็มไปหรือยัง
ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเอกชน
เพื่อให้เป็นวิทยากรพิเศษสอนวิชาปรัชญาให้กับนักศึกษาปริญญาโท
เขาเตรียมการสอนอยู่หลายวันจึงตัดสินใจจะสอนนักศึกษาเหล่านั้นด้วยแบบฝึกหัดง่ายๆ
แต่แฝงไว้ด้วยข้อคิด
เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ
เหยือกแก้ว ขนาดให ญ่ขึ้นมา แล้วใส่
ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม
'พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง?' เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท
แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน
'เต็มแล้ว...'
เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ
หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก
“เหยือกเต็มหรือยัง?'
นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ 'เต็มแล้ว...'
เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไป ปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา
และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก
เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย
เขาเทจนทรายหมดถุง
เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก
เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง “เหยือกเต็มหรือยัง?'
เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน
ปรึกษากันอยู่นาน
หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ
มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง
มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบ ห้านาที
หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น
“คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์'
“แน่ใจนะ'
“แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ'
คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้ต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่ีรอ
ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด
ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง' เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น
“ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา
ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต
การเรียน สุขภาพ ลูก พ่อแม่และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง
สูญเสียไปไม่ได้
เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์
ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ
แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน
คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
ชีวิตเต็มแล้ว... เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด
ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน '
ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ
น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า
เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต
เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีคว ? มสุข
ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย
พาคู่ชีวิตกับล ูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย
เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต
พาพ่อแม่ไปเที่ยวพักผ่อนหรือทานข้าว โทรศัพท์หาเพื่อนบ้างให้รู้ว่าเรายังคิดถึงและเป็นห่วง
เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด
หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
“ แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ
หมายถึงอะไร ?'
เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า “ การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด
ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ... '
แล้วเหยือกของคุณล่ะเต็มหรือยัง http://seal2thai.blogspot.com
Dreams it
Believe it
Do it
ขอบคุณ ฟอร์เวริดเมล์ฉบับนี้นะครับ
ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเอกชน
เพื่อให้เป็นวิทยากรพิเศษสอนวิชาปรัชญาให้กับนักศึกษาปริญญาโท
เขาเตรียมการสอนอยู่หลายวันจึงตัดสินใจจะสอนนักศึกษาเหล่านั้นด้วยแบบฝึกหัดง่ายๆ
แต่แฝงไว้ด้วยข้อคิด
เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ
เหยือกแก้ว ขนาดให ญ่ขึ้นมา แล้วใส่
ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม
'พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง?' เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท
แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน
'เต็มแล้ว...'
เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ
หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก
“เหยือกเต็มหรือยัง?'
นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ 'เต็มแล้ว...'
เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไป ปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา
และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก
เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย
เขาเทจนทรายหมดถุง
เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก
เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง “เหยือกเต็มหรือยัง?'
เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน
ปรึกษากันอยู่นาน
หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ
มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง
มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบ ห้านาที
หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น
“คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์'
“แน่ใจนะ'
“แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ'
คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้ต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่ีรอ
ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด
ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง' เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น
“ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา
ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต
การเรียน สุขภาพ ลูก พ่อแม่และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง
สูญเสียไปไม่ได้
เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์
ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ
แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน
คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
ชีวิตเต็มแล้ว... เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด
ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน '
ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ
น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า
เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต
เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีคว ? มสุข
ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย
พาคู่ชีวิตกับล ูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย
เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต
พาพ่อแม่ไปเที่ยวพักผ่อนหรือทานข้าว โทรศัพท์หาเพื่อนบ้างให้รู้ว่าเรายังคิดถึงและเป็นห่วง
เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด
หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
“ แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ
หมายถึงอะไร ?'
เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า “ การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด
ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ... '
แล้วเหยือกของคุณล่ะเต็มหรือยัง http://seal2thai.blogspot.com
Dreams it
Believe it
Do it
ขอบคุณ ฟอร์เวริดเมล์ฉบับนี้นะครับ
29 มกราคม 2553
ปลุกเสกคน อ.หนู กันภัย
วันนี้รายการ "บันทึกลึกลับ" ช่อง 5 ได้นำเสนอเรื่อง พิธีปลุกเสกคน ของ อ.หนู กันภัย
พิธีนี้จัดขึ้นวันที่ 4 - 6 ธ.ค. 2552 (ซึ่งได้นำเสนอไปแล้วนั้น)
พิธีนี้ยังไม่ใช่พิธีไหว้ครู แต่เป็นพิธีครอบครู เทพ - ศิลป์ ส่วนวันไหว้ครู อ.หนู จริงๆ คือ 30 เม.ย. - 1 พ.ค. 2553 ครับ
พิธีนี้จัดขึ้นวันที่ 4 - 6 ธ.ค. 2552 (ซึ่งได้นำเสนอไปแล้วนั้น)
พิธีนี้ยังไม่ใช่พิธีไหว้ครู แต่เป็นพิธีครอบครู เทพ - ศิลป์ ส่วนวันไหว้ครู อ.หนู จริงๆ คือ 30 เม.ย. - 1 พ.ค. 2553 ครับ
เข้าชมภาพพิธีปลุกเสกคนแบบเต็มได้ที่ อ.หนู กันภัย
28 มกราคม 2553
อาการของความเครียด ที่ทำให้เกือบเสียชีวิต
วันนี้ก็ไปโรงเรียนตามปกติ
พอไปถึงที่โรงเรียน เห็นเด็กนักเรียนยืนออกันหน้าบ้านพักครูวินัย
ตอนแรกกะจะไล่เด็ก เพราะกลัวว่าเด็กจะมารบกวนลุงวินัย
กำลังจะอ้าปากเท่านั้นแหละ
เด็กบอกว่า "ครูคะๆ ครูวินัยป่วยค่ะ"
ผมรีบเบรครถมอเตอร์ไซต์จนล้อแทบปัด ส่วนพี่ดารีบกระโดลงจากรถในทันที
ผมหันหัวรถกลับ แล้วรีบถอดเสื้อคลุม หมวกกันน๊อค และหมวกกันฝุ่น รีบพุ่งขึ้นไปที่ชั้นสอง ในใจก็กลัวว่า ลุงวินัยจะเป็นอะไรไป
เมื่อเห็นลุงวินัยยังลืมตาก็ใจชื้น ลุงพยายามขยับตัวขึ้นโดยมีป้าเล็กและลุงสวัสดิ์ช่วยประคองอยู่ และเมื่อผมขึ้นไป ทุกคนก็พยายามจะช่วยอุ้มลงไป ผมคิดว่าอาจเกิดอันตรายกับทุกคน จึงให้ใช้วิธีประคองตัว ให้กอดคอลงไปก่อน ลุงวินัยขยับตัวไม่ได้ แต่ยังมีความรู้จึงจึงร้องเจ็บปวดตลอดเวลา เมื่อลงไปชั้นล่างได้ จึงใช้วิธีช่วยกันอุ้มขึ้นรถลุงสวัสดิ์
ผมนั่งหอบพักใหญ่ สงสัยไม่ได้ออกกำลังกายแบบหนักๆมานาน
มานั่งคุยกันว่า ลุงวินัยเป็นอะไร ถึงมีอาการคล้ายคนเป็นอัมพฤกแบบนี้
บ้างก็ว่า ลุงแอบกินกาแฟ
บ้านก็ว่า ลุงเครียดที่กู้เงินพัฒนาชีวิตไม่ได้ เลยเครียด
จริงๆแล้ว ลุงเป็นโรคไต ต้องไปฟอกเลือดทุกวัน อังคาร พฤหัส เสาร์
ค่าฟอกไต เบิกได้ ค่ารักษาเบิกได้
แต่ค่าเดินทางไป เบิกไม่ได้
ลุงจึงต้องหาเงินกู้มาเพื่อรักษาตัวเอง
เรื่องนี้ ทำให้ครูบ้านนอกอย่างผมได้ข้อคิดว่า ตอนเรายังหนุ่ม เราต้องเก็บเงิน ต้องหาเงินเพิ่ม ต้องวางแผนอนาคต เพราะถึงเวลานั้นจริงๆ ก็ไม่มีใครช่วยเราได้ อีกอย่าง ครูรุ่นผมไม่มีบำนาญ ไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรกัน เอาบำนาญข้าราชการไป คงลืมไปแล้วมั้งว่า ข้าราชการเงินเดือนน้อย สิ้นปีก็ต้องจ่ายภาษี ไปอบรมบางทีก็ไม่ได้เบี้ยเลี้ยง ไม่ได้ค่าเดินทาง ถึงได้ก็ไม่คุ้ม เพราะเค้าอ้างว่า "เป็นหน้าที่อยู่แล้ว"
ระวังนะครับ
กู้เงินไม่ได้แล้วเครียด
เดี๋ยวจะพาลนอนโรงพยาบาล
พอไปถึงที่โรงเรียน เห็นเด็กนักเรียนยืนออกันหน้าบ้านพักครูวินัย
ตอนแรกกะจะไล่เด็ก เพราะกลัวว่าเด็กจะมารบกวนลุงวินัย
กำลังจะอ้าปากเท่านั้นแหละ
เด็กบอกว่า "ครูคะๆ ครูวินัยป่วยค่ะ"
ผมรีบเบรครถมอเตอร์ไซต์จนล้อแทบปัด ส่วนพี่ดารีบกระโดลงจากรถในทันที
ผมหันหัวรถกลับ แล้วรีบถอดเสื้อคลุม หมวกกันน๊อค และหมวกกันฝุ่น รีบพุ่งขึ้นไปที่ชั้นสอง ในใจก็กลัวว่า ลุงวินัยจะเป็นอะไรไป
เมื่อเห็นลุงวินัยยังลืมตาก็ใจชื้น ลุงพยายามขยับตัวขึ้นโดยมีป้าเล็กและลุงสวัสดิ์ช่วยประคองอยู่ และเมื่อผมขึ้นไป ทุกคนก็พยายามจะช่วยอุ้มลงไป ผมคิดว่าอาจเกิดอันตรายกับทุกคน จึงให้ใช้วิธีประคองตัว ให้กอดคอลงไปก่อน ลุงวินัยขยับตัวไม่ได้ แต่ยังมีความรู้จึงจึงร้องเจ็บปวดตลอดเวลา เมื่อลงไปชั้นล่างได้ จึงใช้วิธีช่วยกันอุ้มขึ้นรถลุงสวัสดิ์
ผมนั่งหอบพักใหญ่ สงสัยไม่ได้ออกกำลังกายแบบหนักๆมานาน
มานั่งคุยกันว่า ลุงวินัยเป็นอะไร ถึงมีอาการคล้ายคนเป็นอัมพฤกแบบนี้
บ้างก็ว่า ลุงแอบกินกาแฟ
บ้านก็ว่า ลุงเครียดที่กู้เงินพัฒนาชีวิตไม่ได้ เลยเครียด
จริงๆแล้ว ลุงเป็นโรคไต ต้องไปฟอกเลือดทุกวัน อังคาร พฤหัส เสาร์
ค่าฟอกไต เบิกได้ ค่ารักษาเบิกได้
แต่ค่าเดินทางไป เบิกไม่ได้
ลุงจึงต้องหาเงินกู้มาเพื่อรักษาตัวเอง
เรื่องนี้ ทำให้ครูบ้านนอกอย่างผมได้ข้อคิดว่า ตอนเรายังหนุ่ม เราต้องเก็บเงิน ต้องหาเงินเพิ่ม ต้องวางแผนอนาคต เพราะถึงเวลานั้นจริงๆ ก็ไม่มีใครช่วยเราได้ อีกอย่าง ครูรุ่นผมไม่มีบำนาญ ไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรกัน เอาบำนาญข้าราชการไป คงลืมไปแล้วมั้งว่า ข้าราชการเงินเดือนน้อย สิ้นปีก็ต้องจ่ายภาษี ไปอบรมบางทีก็ไม่ได้เบี้ยเลี้ยง ไม่ได้ค่าเดินทาง ถึงได้ก็ไม่คุ้ม เพราะเค้าอ้างว่า "เป็นหน้าที่อยู่แล้ว"
ระวังนะครับ
กู้เงินไม่ได้แล้วเครียด
เดี๋ยวจะพาลนอนโรงพยาบาล
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ