วันนี้ไปก็ไม่เกิดอะไร
เค้าคงเป็นว่า พิษณุโลก - กำแพงเพชร ไปได้แป๊บเดียว
คนนะเฟ้ย ไม่ใช่โดราเอม่อน ใช้ประตูวิเศษไปไหนก็ได้
ไหนจะเสียเวลา เสียเงิน แต่มาไม่ทำอะไร เด็กก็ไม่มา
เด็กก็เป็นอะไรก็ไม่รู้ เวลาปิดเทอมอยากปิดก่อน แต่เวลาเปิด ไม่ยอมกลับมา พอเช็คเวลาเรียนไม่พอก็โวยวาย ผู้ปกครองหนอ แล้วเวลาที่เกรดของลูกออก เค้าจะใส่ใจไหมเนี่ย
กลับมาที่สี่แยกปลวกสูง ก็พบว่า รถเมล์ที่ขึ้นทุกวัน ในวันนี้เต็มไปด้วยนักศึกษา เต็มเอี๊ยด เต็มจริงๆ เต็มโครตๆ ถึงกับต้องเดินลงมาทีเดียว รอขึ้นรถคันหลัง
ผมไม่รู้นะ ช่วงปิดเทอม ผมจะเดินทางช่วงกลางสัปดาห์ และกลับก่อน 2 - 3 วัน เพราะหากไม่มีที่นั่ง ก็ต้องยืนจากแพร่ มาถึง พิษณุโลก (3 ชั่วโมงนะครับ พี่น้อง)
อย่างว่าแหละ ครูบ้านนอก ไม่มีรถ ขับรถไม่เป็น เงินเดือนยังน้อย 555+ เหนื่อยมาก
แล้วใครใช้ให้มาเป็นครูละ
อ้าว... ก็อาชีพครู มีโอกาสโกงชาติได้น้อยที่สุด ไงละครับบบบบบ
01 พฤศจิกายน 2552
31 ตุลาคม 2552
เหนื่อยกับวันเตรียมความพร้อม
วันนี้ต้องไปเตรียมความพร้อม
ตื่นเช้ากว่าวันปกติ (ช่วงปิดเทอม) ไปซื้อข้าว จากนั้นก็เตรียมตัว
เวลา 07.20 น. ขี่มอเตอร์ไซด์จาก อ.เมือง พิษณุโลก ไป อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร เป็นระยะทาง 62.5 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมงกว่า เหนื่อยและเมื่อย (บ้าง) หิว (นิดหน่อย) ปวดหลัง (มาก)
หลายคนที่ไม่เคยโดยสารรถเมล์ และขี่มอเตอร์ไซต์ไปทำงาน 2 ต่อ ก้จะไม่รู้ว่าลำบากแค่ไหน บางครั้งก็พลาดรถเมล์ บางครั้งก็ต้องเสี่ยงต่อการถูกรถโดยสารคันใหญ่ๆเฉี่ยวชน เสี่ยงกับงูหรือสัตว์ที่วิ่งตัดหน้ารถ
เราเป็นว่าบางคนสบายกว่าเรา
มันเลยทำให้เรารู้ว่า การเดินทางที่ลำบาก และการทำงานกับคนที่ไม่เห็นคุณค่า มันทำให้ท้อ
ถึงจะท้ออย่างไรก็ตาม เราก็จะปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มความสามารถ แม้ว่าข้อด้อยของเราจะอยู่ตรงไปถึงช้าหน่อย กลับเร็วในบางครั้ง แต่คนที่เค้าไม่โดยสารรถประจำทาง ที่ไม่ค่อยมาเป็นเวลาเค้าจะไม่รู้ว่า มันลำบากโครตๆ
อยากบ่น อยากนินทา อยากว่า ... เชิญตามสบาย
อย่างน้อยๆ จิตวิญญาณ อุดมการณ์ มันต่างกัน
วันนี้ไปก็ไม่เจออะไร ไม่ได้ทำอะไร ไปเสียเงิน ไปเสียเวลา ดีตรงที่ว่า ได้ไปช่วยครูเก๋ขนของเท่านั้นเอง
...
ตื่นเช้ากว่าวันปกติ (ช่วงปิดเทอม) ไปซื้อข้าว จากนั้นก็เตรียมตัว
เวลา 07.20 น. ขี่มอเตอร์ไซด์จาก อ.เมือง พิษณุโลก ไป อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร เป็นระยะทาง 62.5 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมงกว่า เหนื่อยและเมื่อย (บ้าง) หิว (นิดหน่อย) ปวดหลัง (มาก)
หลายคนที่ไม่เคยโดยสารรถเมล์ และขี่มอเตอร์ไซต์ไปทำงาน 2 ต่อ ก้จะไม่รู้ว่าลำบากแค่ไหน บางครั้งก็พลาดรถเมล์ บางครั้งก็ต้องเสี่ยงต่อการถูกรถโดยสารคันใหญ่ๆเฉี่ยวชน เสี่ยงกับงูหรือสัตว์ที่วิ่งตัดหน้ารถ
เราเป็นว่าบางคนสบายกว่าเรา
มันเลยทำให้เรารู้ว่า การเดินทางที่ลำบาก และการทำงานกับคนที่ไม่เห็นคุณค่า มันทำให้ท้อ
ถึงจะท้ออย่างไรก็ตาม เราก็จะปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มความสามารถ แม้ว่าข้อด้อยของเราจะอยู่ตรงไปถึงช้าหน่อย กลับเร็วในบางครั้ง แต่คนที่เค้าไม่โดยสารรถประจำทาง ที่ไม่ค่อยมาเป็นเวลาเค้าจะไม่รู้ว่า มันลำบากโครตๆ
อยากบ่น อยากนินทา อยากว่า ... เชิญตามสบาย
อย่างน้อยๆ จิตวิญญาณ อุดมการณ์ มันต่างกัน
วันนี้ไปก็ไม่เจออะไร ไม่ได้ทำอะไร ไปเสียเงิน ไปเสียเวลา ดีตรงที่ว่า ได้ไปช่วยครูเก๋ขนของเท่านั้นเอง
...
30 ตุลาคม 2552
สารพัดบัตร
วันนี้ โรงเรียนใกล้เปิดแล้ว
ต่อให้ไม่มีเวลาว่างก็ต้องไปตามต่ออายุบัตรต่างๆให้เสร็จ
ตั้งแต่บัตรเบิกจ่ายตรงโรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวร (10 นาทีได้รับเลย)
ไปถ่ายบัตรประชาชน (หมดอายุเกิน 3 เดือน โดนบัตร 20 บาท)
ต่ออายุบัตรจ่ายตรงโรงพยาบาลมหาวิทยานเรศวร (เดือนหน้าได้)
ส่งวิทยานิพนธ์
โหย เหนื่อยๆมากๆๆๆๆ
วันนี้วิ่งรอบเลยครับ
ต่อให้ไม่มีเวลาว่างก็ต้องไปตามต่ออายุบัตรต่างๆให้เสร็จ
ตั้งแต่บัตรเบิกจ่ายตรงโรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวร (10 นาทีได้รับเลย)
ไปถ่ายบัตรประชาชน (หมดอายุเกิน 3 เดือน โดนบัตร 20 บาท)
ต่ออายุบัตรจ่ายตรงโรงพยาบาลมหาวิทยานเรศวร (เดือนหน้าได้)
ส่งวิทยานิพนธ์
โหย เหนื่อยๆมากๆๆๆๆ
วันนี้วิ่งรอบเลยครับ
29 ตุลาคม 2552
คนดี ที่เป็นข่าวเพียงวันสองวัน
อย่าปล่อยให้ข่าวคนทำดี หายไปอย่างรวดเร็ว
เพราะคนดี มีมาก แต่สังคมไม่ชอบ (เพราะไปชอบหมีแพนด้า กับพ่อที่ทิ้งลูกไว้)
แม่บ้านห้างสรรพสินค้าท็อปแลนด์ จ.พิษณุโลก เก็บเงินกว่า 5 แสนบาทคืนเจ้าของ
(28 ต.ค.52) นางทองคำ ชาญสมาธิ์ อายุ 54 แม่บ้านห้างสรรพสินค้าท็อปแลนด์พลาซ่า อ.เมืองพิษณุโลก มีภูมิลำเนา อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เก็บเงิน ของนายเกรียงเดชน์ และนางอัชณัฐ อู่ดี ข้าราชการสำนักประชาสัมพันธ์ เขต 4 จำนวน 530,000 บาท ซึ่งได้จากการขายบ้าน และลืมทิ้งไว้ที่ศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าท็อปแลนด์พลาซ่า อ.เมืองพิษณุโลก หลังมารับประทานอาหารในช่วงเที่ยงของวันนี้ และนางอัชณัฐ จึงได้มอบเงินให้นางทองคำไว้ จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการขอบคุณ นางทองคำ กล่าวว่า ตนเองเดินมาเก็บภาชนะที่โต๊ะอาหาร เหลือบไปเห็นกระเป๋าสะพายแขวนอยู่ที่เก้าอี้ จึงได้นำไปให้ผู้จัดการเก็บไว้ เพื่อรอเจ้าของมารับ โดยไม่ได้เปิดดูในกระเป๋าว่ามีอะไร ซึ่งปกติแล้วก็มีคนลืมของไว้เป็นประจำ และตนเองก็จะเก็บไว้เสมอ
หากใครเข้ามาอ่านข้อความของผม โปรดรับทราบว่า "ผมชอบข่าวคนทำดี" มากกว่าการประโคมข่าวตามกระแส ครับ
เพราะคนดี มีมาก แต่สังคมไม่ชอบ (เพราะไปชอบหมีแพนด้า กับพ่อที่ทิ้งลูกไว้)
แม่บ้านห้างสรรพสินค้าท็อปแลนด์ จ.พิษณุโลก เก็บเงินกว่า 5 แสนบาทคืนเจ้าของ
(28 ต.ค.52) นางทองคำ ชาญสมาธิ์ อายุ 54 แม่บ้านห้างสรรพสินค้าท็อปแลนด์พลาซ่า อ.เมืองพิษณุโลก มีภูมิลำเนา อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เก็บเงิน ของนายเกรียงเดชน์ และนางอัชณัฐ อู่ดี ข้าราชการสำนักประชาสัมพันธ์ เขต 4 จำนวน 530,000 บาท ซึ่งได้จากการขายบ้าน และลืมทิ้งไว้ที่ศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าท็อปแลนด์พลาซ่า อ.เมืองพิษณุโลก หลังมารับประทานอาหารในช่วงเที่ยงของวันนี้ และนางอัชณัฐ จึงได้มอบเงินให้นางทองคำไว้ จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการขอบคุณ นางทองคำ กล่าวว่า ตนเองเดินมาเก็บภาชนะที่โต๊ะอาหาร เหลือบไปเห็นกระเป๋าสะพายแขวนอยู่ที่เก้าอี้ จึงได้นำไปให้ผู้จัดการเก็บไว้ เพื่อรอเจ้าของมารับ โดยไม่ได้เปิดดูในกระเป๋าว่ามีอะไร ซึ่งปกติแล้วก็มีคนลืมของไว้เป็นประจำ และตนเองก็จะเก็บไว้เสมอ
หากใครเข้ามาอ่านข้อความของผม โปรดรับทราบว่า "ผมชอบข่าวคนทำดี" มากกว่าการประโคมข่าวตามกระแส ครับ
28 ตุลาคม 2552
มีเงินล้นฟ้า แต่ต้องมา(ตายใน)คุก
ตอนนี้มีกระแสข่าวของคนที่อาศัยความรู้ความสามารถ และอำนาจของตนเอง
นำสิ่งเหล่านั้นมาใช้แสวงหาประโยชน์ของตนเอง
คนเหล่านั้นคงไม่ต้องการกลับเมืองไทย
เพราะหากเค้ารักเมืองไทย เค้าคงไม่ทำแบบนั้น
ทั้งการปั่นหุ้น NPL ปล่อยข่าวลวง
นี่ยังไม่นับบางกลุ่มที่โจมตีค่าเงินบาทไทย (ซื้อ 25 บ. และพอปล่อยให้เงินบาทลอยตัวได้เกือบ 50 บ. กำไรดีกว่าทำ adsense เห็นๆ)
ที่สำคัญ หากกลับมาถึง ได้นอนบนเตียง มีคนดูแล ตามหลักสิทธิมนุยษชน เสียอย่างเดียว (ห้องนี้ผีดุ)
คนที่ขายชาติ มีจุดจบไม่กี่อย่าง ติดคุก ตายอย่างอนาถา ครอบครัวแตกแยก ลูกผลาญสมบัติ และไม่มีแผ่นดินอยู่
(เชื่อเถอะ มีคนพูดแบบนี้เป็นล้านๆๆๆ)
ใครมีความเห็นอย่างไร ขอเชิญแสดงความเห็นครับ
นำสิ่งเหล่านั้นมาใช้แสวงหาประโยชน์ของตนเอง
คนเหล่านั้นคงไม่ต้องการกลับเมืองไทย
เพราะหากเค้ารักเมืองไทย เค้าคงไม่ทำแบบนั้น
ทั้งการปั่นหุ้น NPL ปล่อยข่าวลวง
นี่ยังไม่นับบางกลุ่มที่โจมตีค่าเงินบาทไทย (ซื้อ 25 บ. และพอปล่อยให้เงินบาทลอยตัวได้เกือบ 50 บ. กำไรดีกว่าทำ adsense เห็นๆ)
ที่สำคัญ หากกลับมาถึง ได้นอนบนเตียง มีคนดูแล ตามหลักสิทธิมนุยษชน เสียอย่างเดียว (ห้องนี้ผีดุ)
คนที่ขายชาติ มีจุดจบไม่กี่อย่าง ติดคุก ตายอย่างอนาถา ครอบครัวแตกแยก ลูกผลาญสมบัติ และไม่มีแผ่นดินอยู่
(เชื่อเถอะ มีคนพูดแบบนี้เป็นล้านๆๆๆ)
ใครมีความเห็นอย่างไร ขอเชิญแสดงความเห็นครับ
27 ตุลาคม 2552
การกำจัดแมลงศัตรูพืชไม้ดอกไม้ประดับ
ประเภทของแมลงศัตรูพืช
แมลงปากดูด มีหลายชนิด เช่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย เป็นต้น แมลงเหล่านี้ทำลายพืชด้วยการดูดน้ำเลี้ยง ทำให้พืชหงิกงอ เหี่ยวแห้ง
หนอนผีเสื้อ จะกัดกิน ทำให้ใบ ดอกขาดหรือเป็นรู
แมลงปีกแข็ง เช่น ด้วงกุหลาบ เต่ากล้วยไม้ จะกัดกินดอกและใบ
แมลงวัน เช่น แมลงวันดอกกล้วยไม้ ตัวหนอนจะเจาะเข้าไปกัดกินอยู่ภายในดอก จะระบาดเป็นครั้งคราว
ศัตรูอื่น ๆ เช่น ไร ทาก และหนู
วิธีป้องกันและกำจัด
# หมั่นตรวจดูไม้ดอกไม้ประดับอย่างสม่ำเสมอ หากพบมีการทำลายไม่มากก็จับแมลงที่พบมาทำลายทิ้ง
# หากพบมีการระบาดรุนแรงก็ฉีดพ่นด้วยสารเคมีทุก ๆ 5-7 วัน จนกว่าจะไม่พบการระบาด
รู้อย่างนี้แล้ว ควรหมั่นตรวจดูไม้ดอกไม้ประดับอย่างสม่ำเสมอ จะได้ห่างไกลจากศัตรูพืช.
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
แมลงปากดูด มีหลายชนิด เช่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย เป็นต้น แมลงเหล่านี้ทำลายพืชด้วยการดูดน้ำเลี้ยง ทำให้พืชหงิกงอ เหี่ยวแห้ง
หนอนผีเสื้อ จะกัดกิน ทำให้ใบ ดอกขาดหรือเป็นรู
แมลงปีกแข็ง เช่น ด้วงกุหลาบ เต่ากล้วยไม้ จะกัดกินดอกและใบ
แมลงวัน เช่น แมลงวันดอกกล้วยไม้ ตัวหนอนจะเจาะเข้าไปกัดกินอยู่ภายในดอก จะระบาดเป็นครั้งคราว
ศัตรูอื่น ๆ เช่น ไร ทาก และหนู
วิธีป้องกันและกำจัด
# หมั่นตรวจดูไม้ดอกไม้ประดับอย่างสม่ำเสมอ หากพบมีการทำลายไม่มากก็จับแมลงที่พบมาทำลายทิ้ง
# หากพบมีการระบาดรุนแรงก็ฉีดพ่นด้วยสารเคมีทุก ๆ 5-7 วัน จนกว่าจะไม่พบการระบาด
รู้อย่างนี้แล้ว ควรหมั่นตรวจดูไม้ดอกไม้ประดับอย่างสม่ำเสมอ จะได้ห่างไกลจากศัตรูพืช.
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
26 ตุลาคม 2552
การดื่มน้ำกับการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายที่ต้องออกแรงให้รู้สึกเหนื่อยหอบปานกลาง ทำให้หัวใจเต้นสูบฉีดต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสมและอย่างสม่ำเสมอ ช่วยทำให้ปอดและหัวใจแข็งแรง สุขภาพโดยรวมแข็งแรง ห่างไกลโรคร้ายอย่างโรคอ้วนหรือเบาหวานได้อย่างสบายๆ
การออกกำลัง กายเรียกเหงื่อจะทำให้เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กะเปร่า ซึ่งเมื่อเสียเหงื่อก็ต้องดื่มน้ำเปล่าเข้าไปชดเชยน้ำที่สูญเสียไปจากร่าง กายในรูปของเหงื่อ โดยการดื่มน้ำที่ได้สมดุลต่อสุขภาพร่างกายของคุณตั้งแต่ทั้งก่อน ระหว่างและหลังออกกำลังกายต้องมีปริมาณมากน้อยเพียงใด เรามีคำแนะนำง่ายๆ ค่ะ
ก่อนออกกำลังกาย
ควรดื่มน้ำให้ เพียงพอ ประมาณ 400-600 มล. (1-1 ½ ขวดกลาง) ก่อนการออกกำลังกายทุกชนิดล่วงหน้าสัก 1-2 ชั่วโมง และอีก 200-400 มล. (1/2 -1 ขวดกลาง) ก่อนออกกำลังกายประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการจุกเสียดท้อง
ระหว่างการออกกำลังกาย
ขณะ ออกกำลังกายอย่างสนุกสนาน ร่างกายจะขับเหงื่อเพื่อปรับและรักษาอุณหภูมิไว้ให้สมดุล ดังนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ในกรณีที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 60 นาที คุณควรพักดื่มน้ำทุกๆ 15-20 นาที ครั้งละ 200 มล. (1/2 ขวดกลาง) ทั้งนี้ในกรณีที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังขาดน้ำ เช่น คอแห้ง น้ำลายเหนียว ก็ควรพักดื่มน้ำสักหน่อยก่อนกลับไปออกกำลังกายต่อ สัก 2-3 อึกก็ยังดี หรือถ้าออกกำลังกายที่มีความหนักและสูญเสียเหงื่อมาก อาจดื่มน้ำเกลือแร่เสริมได้ เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด ป้องกันไม่ให้เหนื่อยอ่อนแรงและช็อค ซึ่งจะให้ดีเครื่องดื่มนั้นควรมีอุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส เพื่อเพิ่มการดูดซึม
หลังการออกกำลังกาย
การ ดื่มน้ำชดเชยเหงื่อที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับความหนัก เปรียบเทียบง่ายๆ ด้วยการชั่งน้ำหนักก่อนและหลังการออกกำลังกาย (ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าหลังออกกำลังกายหรือซาวนาแล้วจะผอมทันที เพราะจริงๆ แล้ว น้ำในร่างกายสูญเสียไปต่างหาก) หรือปริมาณปัสสาวะที่ขับออกมาก็ได้ ถ้าปัสสาวะมีสีเข้มแสดงว่าดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และพยายามหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ดัง นั้นระหว่างการออกกำลังกาย อย่ามัวแต่สนุกสนานกับการเผาผลาญพลังงานจนลืมดื่มน้ำนะคะ มิฉะนั้นอาจจะหมดเรี่ยวแรง และอาจเกิดอาการขาดน้ำจนถึงช็อคได้ ส่วนน้ำที่ดีที่สุดเมื่อออกกำลังกายก็คือ น้ำเปล่า...ทั้งนี้รวมถึงคนที่ทำกิจกรรมทั่วไปก็ต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว นะคะ...วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง?
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
การออกกำลัง กายเรียกเหงื่อจะทำให้เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กะเปร่า ซึ่งเมื่อเสียเหงื่อก็ต้องดื่มน้ำเปล่าเข้าไปชดเชยน้ำที่สูญเสียไปจากร่าง กายในรูปของเหงื่อ โดยการดื่มน้ำที่ได้สมดุลต่อสุขภาพร่างกายของคุณตั้งแต่ทั้งก่อน ระหว่างและหลังออกกำลังกายต้องมีปริมาณมากน้อยเพียงใด เรามีคำแนะนำง่ายๆ ค่ะ
ก่อนออกกำลังกาย
ควรดื่มน้ำให้ เพียงพอ ประมาณ 400-600 มล. (1-1 ½ ขวดกลาง) ก่อนการออกกำลังกายทุกชนิดล่วงหน้าสัก 1-2 ชั่วโมง และอีก 200-400 มล. (1/2 -1 ขวดกลาง) ก่อนออกกำลังกายประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการจุกเสียดท้อง
ระหว่างการออกกำลังกาย
ขณะ ออกกำลังกายอย่างสนุกสนาน ร่างกายจะขับเหงื่อเพื่อปรับและรักษาอุณหภูมิไว้ให้สมดุล ดังนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ในกรณีที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 60 นาที คุณควรพักดื่มน้ำทุกๆ 15-20 นาที ครั้งละ 200 มล. (1/2 ขวดกลาง) ทั้งนี้ในกรณีที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังขาดน้ำ เช่น คอแห้ง น้ำลายเหนียว ก็ควรพักดื่มน้ำสักหน่อยก่อนกลับไปออกกำลังกายต่อ สัก 2-3 อึกก็ยังดี หรือถ้าออกกำลังกายที่มีความหนักและสูญเสียเหงื่อมาก อาจดื่มน้ำเกลือแร่เสริมได้ เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด ป้องกันไม่ให้เหนื่อยอ่อนแรงและช็อค ซึ่งจะให้ดีเครื่องดื่มนั้นควรมีอุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส เพื่อเพิ่มการดูดซึม
หลังการออกกำลังกาย
การ ดื่มน้ำชดเชยเหงื่อที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับความหนัก เปรียบเทียบง่ายๆ ด้วยการชั่งน้ำหนักก่อนและหลังการออกกำลังกาย (ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าหลังออกกำลังกายหรือซาวนาแล้วจะผอมทันที เพราะจริงๆ แล้ว น้ำในร่างกายสูญเสียไปต่างหาก) หรือปริมาณปัสสาวะที่ขับออกมาก็ได้ ถ้าปัสสาวะมีสีเข้มแสดงว่าดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และพยายามหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ดัง นั้นระหว่างการออกกำลังกาย อย่ามัวแต่สนุกสนานกับการเผาผลาญพลังงานจนลืมดื่มน้ำนะคะ มิฉะนั้นอาจจะหมดเรี่ยวแรง และอาจเกิดอาการขาดน้ำจนถึงช็อคได้ ส่วนน้ำที่ดีที่สุดเมื่อออกกำลังกายก็คือ น้ำเปล่า...ทั้งนี้รวมถึงคนที่ทำกิจกรรมทั่วไปก็ต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว นะคะ...วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง?
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
25 ตุลาคม 2552
คาถาพระสุนทรีวาณี (คาถาความจำดี)
คาถาพระสุนทรีวาณี
ตั้ง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนังฯ
พระสุนทรวาณี นั้นเป็นพระปางพิเศษ เป็นรูปเทพธิดาทรงอาภรณ์อันงดงามวิจิตร พระหัตถ์ขวาแสดงอาการกวัก อันหมายถึงการเรียกเข้ามาหา นัยน์ว่าเป็นการเรียกสิ่งดีๆต่างๆเข้ามาหาผู้บูชา พระหัตถ์ซ้ายหงายอยู่บนพระเพลา (หน้าตัก) มีดวงแก้ววิเชียร (เพชร) อยู่ในพระหัตถ์ พระสุนทรีวาณี เป็นพระซึ่งเกิดจากนิมิตแห่งคาถาสุนทรีวาณี ซึ่งเป็นคาถาที่ปรากฏในคัมภีร์สัททาวิเสส มี 32 คำ พระคาถานี้เป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดเมื่อเรียนพระไตรปิฎก เรียนพระธรรม เรียนวิชา ภาวนาแล้วสามารถดับอวิชชา บังเกิดปัญญางาม ปัญญากลายเป็นสัญญา(สัญญา --- ความจำได้หมายรู้) คือความทรงจำอันเลิศล้ำ โบราณาจารย์ได้สั่งสอนศิษยานุศิษย์ให้ท่องทุกครั้งก่อนที่จะเรียนพระไตรปิฎกตลอดมา
สืบความได้ว่า ผู้ที่ท่องคาถานี้เฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช 3 พระองค์ เป็นพระสมเด็จ พระราชาคณะ และเป็นพระคณาจารย์ผู้มากด้วยเมตตาอีกเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฺฑฒโน) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 3 ของวัดสุทัศน์ฯ ได้ภาวนาโดยใช้คาถานี้จนเกิดเป็นนิมิต จึงให้จิตรกรหลวงเขียนภาพนิมิตนั้นแล้วตั้งบูชาที่หัวนอน ครั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จประพาสยุโรป สมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้ถวายคาถานี้ให้จำเริญ ครั้งเมื่อเสด็จกลับมาจึงได้ตรัสว่าคาถานี้ศักดิ์สิทธิ์นัก และได้ทรงขอยืมรูปพระสุนทรีวาณีไปบูชา เป็นเวลา 5 ปี จนเมื่อสมเด็จพระวันรัต (แดง) อาพาธ ก่อนมรณภาพ จึงขอพระราชทานกลับมาคืนวัด ปัจจุบันภาพนั้นอยู่ที่คณะ 6 วัดสุทัศน์ฯ โดยได้มีการสร้างเหรียญ และเหรียญหล่อจากภาพนิมิตดังกล่าวแล้วหลายครั้ง ผู้ที่บูชาพระสุนทรีวาณีจะเกิดความผ่องใส เกิดโชคลาภ และประสบความสำเร็จต่างๆ
สนับสนุนข้อมูล รับสร้างบ้าน ออกแบบบ้าน งบไม่บาน
ตั้ง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนังฯ
พระสุนทรวาณี นั้นเป็นพระปางพิเศษ เป็นรูปเทพธิดาทรงอาภรณ์อันงดงามวิจิตร พระหัตถ์ขวาแสดงอาการกวัก อันหมายถึงการเรียกเข้ามาหา นัยน์ว่าเป็นการเรียกสิ่งดีๆต่างๆเข้ามาหาผู้บูชา พระหัตถ์ซ้ายหงายอยู่บนพระเพลา (หน้าตัก) มีดวงแก้ววิเชียร (เพชร) อยู่ในพระหัตถ์ พระสุนทรีวาณี เป็นพระซึ่งเกิดจากนิมิตแห่งคาถาสุนทรีวาณี ซึ่งเป็นคาถาที่ปรากฏในคัมภีร์สัททาวิเสส มี 32 คำ พระคาถานี้เป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดเมื่อเรียนพระไตรปิฎก เรียนพระธรรม เรียนวิชา ภาวนาแล้วสามารถดับอวิชชา บังเกิดปัญญางาม ปัญญากลายเป็นสัญญา(สัญญา --- ความจำได้หมายรู้) คือความทรงจำอันเลิศล้ำ โบราณาจารย์ได้สั่งสอนศิษยานุศิษย์ให้ท่องทุกครั้งก่อนที่จะเรียนพระไตรปิฎกตลอดมา
สืบความได้ว่า ผู้ที่ท่องคาถานี้เฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช 3 พระองค์ เป็นพระสมเด็จ พระราชาคณะ และเป็นพระคณาจารย์ผู้มากด้วยเมตตาอีกเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฺฑฒโน) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 3 ของวัดสุทัศน์ฯ ได้ภาวนาโดยใช้คาถานี้จนเกิดเป็นนิมิต จึงให้จิตรกรหลวงเขียนภาพนิมิตนั้นแล้วตั้งบูชาที่หัวนอน ครั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จประพาสยุโรป สมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้ถวายคาถานี้ให้จำเริญ ครั้งเมื่อเสด็จกลับมาจึงได้ตรัสว่าคาถานี้ศักดิ์สิทธิ์นัก และได้ทรงขอยืมรูปพระสุนทรีวาณีไปบูชา เป็นเวลา 5 ปี จนเมื่อสมเด็จพระวันรัต (แดง) อาพาธ ก่อนมรณภาพ จึงขอพระราชทานกลับมาคืนวัด ปัจจุบันภาพนั้นอยู่ที่คณะ 6 วัดสุทัศน์ฯ โดยได้มีการสร้างเหรียญ และเหรียญหล่อจากภาพนิมิตดังกล่าวแล้วหลายครั้ง ผู้ที่บูชาพระสุนทรีวาณีจะเกิดความผ่องใส เกิดโชคลาภ และประสบความสำเร็จต่างๆ
สนับสนุนข้อมูล รับสร้างบ้าน ออกแบบบ้าน งบไม่บาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ