16 กุมภาพันธ์ 2554

เตรียมตัวลุยงาน แต่วันนี้เหนื่อยมาก

พรุ่งนี้จะมีมหกรรมขยายโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ
จัดที่โรงแรมอมรินท์ลากูน จ.พิษณุโลก
ได้รับคำสั่งให้ไปร่วมปฏิบัติราชการ (ว่าแต่ อยู่ฝ่ายอะไรเนี่ย... อ๋อ ประชาสัมพันธ์ ช่างเข้ากับหน้าตาเสียจริง อิอิ)

เพิ่งได้ทราบว่า เป็นเรื่องของโรงเรียนขยายโอกาส 17 จังหวัดภาคเหนือ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะเนี่ยที่จะจัดรวมกันได้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่มากๆๆๆ

เดี๋ยวพรุ่งนี้ คงต้องไปแต่เช้า เพราะมีเรื่องราวหลายหลากรอให้เรียนรู้ และรอให้ทำ

ถ้าไม่เรียนรู้ ครูก็เหมือนปลาตายไม่ว่ายทวนน้ำ

15 กุมภาพันธ์ 2554

ประชุมปฏิบัติการการพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา


ประชุมปฏิบัติการการพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาเพื่อรองรับการประเมินจาก สมศ. รอบ 3
ณ สหกรณ์ออมทรัพย์ครู พิษณุโลก

การประชุมครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทอักษรเจริญทัศน์ (อจท.) และ สมาคมครูและผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน อำเภอบางระกำ

วันนี้มีคนไปมากจริงๆ จนทำให้เกิดความโกลาหลเล็กน้อยตอนพักรับประทานอาหารกลางวัน หลายคนคาดหวังว่า อ.เอกรินทร์ จะมาเป็นวิทยากร เพราะท่านคุยสนุก เร้าใจดีตลอดการประชุม

งานหนักกำลังเริ่มขึ้น
เอาประจำที่ทำอยู่ ถ้ามาถูกทาง เราจะทำเพื่อเตรียมรับ สมศ. ไม่เหนื่อย แต่ถ้ายังไม่ได้ทำ ก็ยังไม่สายที่จะเริ่มครับ

14 กุมภาพันธ์ 2554

วันแห่งความรัก แล้วเรารักใคร

วันนี้ เป็นวันที่หลายๆคนเรียกว่า วันแห่งความรัก
หลายคนสมมุติวันนี้ขึ้นมา เพื่อแสดงความรักให้กับคนที่รัก

เมื่อเช้า เห็นเด็กนักเรียน 2 คน ออกบ้านแต่เช้าตรู่ (ปกติไม่ค่อยเห็น) ตอนแรก นึกว่าจะออกมาใส่บาตรกัน แต่ปรากฎว่า น้องสองคนนั้น ทำของขวัญที่เพิ่งซื้อมาร่วงบนถนน... สรุปว่า รีบออกมาซื้อของขวัญให้หนุ่ม

คนรักกัน ดีกว่าเกลียดกัน
ตะโกนเรียกร้องหาความรัก ดีกว่าตะโกน กูจะฆ่ามึง

วันนี้ สมควรจะบอกรักพ่อแม่ก่อนใคร เพราะไม่มีท่าน ก็ไม่มีเรา
ที่สำคัญ อย่าเอาร่างกาย แลกความรัก
ต้องระวัง และป้องกัน

มิเช่นนั้น เราจะมีแม่อายุน้อยวันละ 300 กว่าคน
ยังไม่ร่วมที่ทำแท้งอีกหลายราย

บาปมันติดตัวเราไปจนตาย
แม้กระทั้งคนที่รู้เรื่อง ชี้แนะ ให้เงิน
กรรมเหล่านั้น มันจะตามคุณไปจริงๆ ทำการงานไม่ก้าวหน้า
มีอาการปวดเมื่อยแปลกๆ ฯลฯ

มันแก้ไขไม่ได้.... ชีวิต ต้องแลกด้วย ชีวิต

12 กุมภาพันธ์ 2554

งานวัดใหญ่เริ่มแล้ว

วันนี้ เดินทางไปเตรียมอุดมฯ
ซึ่งต้องผ่านวัดพระศรรัตนมหาธาตุฯ หรือที่ชาวพิษณุโลกเรียกว่าวัดใหญ่

คนเยอะมาก รถจึงเยอะตาม
อาชีพใหม่ๆที่เกิดขึ้นคือ รับฝากรถ เริ่มยาวออกมาเรื่อยๆ พูดง่ายๆ เกือบ 2 ไฟแดงแล้ว

ในหนึ่งปี จะเปิดโอกาสให้ประชาชนขึ้นไปสักการะบูชาพระบรมสาลีริกธาตุฯบนพระปราง

จะไปวันไหนดีเนี่ย เฮ้อ อยากไปครับ

11 กุมภาพันธ์ 2554

สำเนียง

สำเนียงไพเราะเสนาะหู
ลอดเร้นเพียงครู่มิรู้หาย
สอดสดับรับรู้มิวางวาย
ปลายสายเสียงหวานสราญรมย์

10 กุมภาพันธ์ 2554

“ชินวรณ์” เผย พ.ร.บ.เงินเดือนฯ ทำให้อัตราเงินเดือนครูเพิ่มร้อยละ 13

“ชินวรณ์” เผย พ.ร.บ.เงินเดือนฯ ทำให้อัตราเงินเดือนครูเพิ่มร้อยละ 13

“ชินวรณ์” เผย ที่ประชุม กมธ.วิสามัญฯ สั่งเพิ่มรายละเอียดในมาตรา 6 ให้ ขรก.ครูที่ยังมีเงินเดือนไม่ถึงขั้นต่ำตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.เงินเดือนฯ ได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าขั้นต่ำชั่วคราว มั่นใจ พ.ร.บ.เงินเดือนฯ จะได้รับพิจารณาทันประชุมผู้แทนราษฎรสมัยนี้แน่นอน ลั่นหากประกาศใช้แล้วส่งผลให้ ขรก.ครูได้รับการปรับเงินเดือนโดยเฉลี่ยร้อยละ 13

วันนี้ (11 ก.พ.) นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.... สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ที่ประชุม กมธ.วิสามัญฯ ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยได้ปรับเพิ่มในรายละเอียดมาตรา 6 จากเดิมที่ระบุว่าในระหว่างที่ ก.ค.ศ.ยังมิได้ปรับอัตราเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สอดคล้องกับอัตราเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ.กำหนด โดยรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ได้มอบหมายให้ ก.ค.ศ.จัดทำคู่มือรายละเอียดของการดำเนินการตามบัญชีที่ได้ศึกษาไว้แล้ว ซึ่งจะได้ขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต่อไป โดยจากมาตรา 6 ดังกล่าว ที่ประชุม กมธ.วิสามัญฯ ได้ปรับเพิ่มว่า กรณีที่ข้าราชการครู ที่ยังได้รับเงินเดือนยังไม่ถึงขั้นต่ำของอันดับตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.นี้ ให้ได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าขั้นต่ำชั่วคราว ตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.นี้ และให้ได้รับเงินเดือนจนกว่าจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำของอันดับ ตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.นี้

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ตนได้ลงนามถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะได้ประสานกับคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ต่อไป ก่อนจะนำเสนอเข้าสู่ชั้นวุฒิสภา เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว ก็จะได้มีการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้ ตนได้ดูปฏิทินการทำงาน มั่นใจว่า ร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนฯ จะได้รับการพิจารณาให้แล้วเสร็จทันการประชุมผู้แทนราษฎรสมัยนี้อย่างแน่นอน โดยหากมีการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จะส่งผลให้เพดานเงินเดือนครูได้รับการปรับเพิ่มร้อยละ 8 และเมื่อรวมกับการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการทุกประเภทร้อยละ 5 ตามภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นตามมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็จะทำให้ข้าราชการครูได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนโดยเฉลี่ยร้อยละ 13

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนฯ มีมาตราที่มีความสำคัญ 3 มาตรา ได้แก่ มาตรา 3 มาตรา 5 และมาตรา 6 โดยมาตรา 3 ระบุว่า อัตราเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง สำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และบัญชีอัตราเงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษาท้ายพระราชบัญญัตินี้ ส่วนมาตรา 5 ระบุว่า ครม.จะพิจารณาปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูง เงินวิทยฐานะ เงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นตามความจำเป็นก็ได้ โดยหากเป็นการปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูง เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งเพิ่มไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งที่ใช้บังคับอยู่ ให้กระทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และให้ถือว่าเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูง เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เป็นเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูง เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งท้ายพระราชบัญญัตินี้ เมื่อมีการปรับเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง การปรับเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้รับอยู่เดิม เข้าสู่อัตราในบัญชีที่ได้รับการปรับใหม่ ให้เป็นไปหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ.กำหนด ซึ่ง ก.ค.ศ.จะต้องดำเนินการตามมาตรา 6

09 กุมภาพันธ์ 2554

มากมารยาท

มากมารยาท นิทานเซ็น
《惭愧的高僧》

ยังมีอุบาสกวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ไปกราบนมัสการพระผู้มีสมณศักดิ์สูงยังวัดแห่งหนึ่ง ทั้งสองสนทนาธรรมกันอย่างออกรส ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวัน เณรจึงได้จัดอาหารมาให้ทั้งสอง เป็นบะหมี่ชามใหญ่ 1 ชามและชามเล็ก 1 ชาม

เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นสำรับกับข้าวที่เณรยกมา จึงได้ยกบะหมี่ชามใหญ่ยื่นให้อุบาสกผู้นั้น ทั้งยังกล่าวว่า "ท่านรับประทานชามใหญ่เถอะ"

หากยึดตามธรรมเนียมปฏิบัติ อุบาสกผู้นั้นควรที่จะปฏิเสธและผลักไสบะหมี่ชามใหญ่กลับคืนไปยังพระสงฆ์ เพื่อแสดงความเคารพเกรงใจ ทว่าอุบาสกผู้นี้กลับรับชามบะหมี่มาโดยไม่อิดเอื้อน จากนั้นลงมือรับประทานทันที เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจจนหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางคิดว่า "แรกทีเดียวคิดว่าคนผู้นี้มีสติปัญญาไม่น้อย ไฉนกลับกลายเป็นโง่เขลาไร้มารยาทเช่นนี้"

เมื่ออุบาสกรับประทานบะหมี่หมดชาม เงยหน้าขึ้นมาพบว่าพระรูปนั้นยังไม่ได้แตะต้องบะหมี่ชามเล็กแม้แต่น้อย ทั้งยังมีสีหน้าเย็นชา จึงยิ้มพลางเอ่ยถามว่า "พระคุณเจ้าไฉนไม่รับประทานบะหมี่?"

พระผู้มีสมณศักดิ์สูงเงียบงันไม่ตอบ อุบาสกจึงยิ้มและกล่าวต่อไปว่า "กระผมรู้สึกหิวยิ่งนัก จึงสนใจแต่ปากท้องของตนเองโดยลืมเลือนพระคุณเจ้าไป แต่หากจะให้กระผมผลักไสบะหมี่ชามใหญ่ที่พระคุณเจ้าหยิบยื่นมาให้กระผมกลับคืนไปยังพระคุณเจ้าอีก นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของกระผม และในเมื่อไม่ได้ตั้งใจ จะต้องเสแสร้งแกล้งทำไปเพื่ออันใดเล่า ขอถามพระคุณเจ้าว่าการเกี่ยงกันด้วยความเกรงใจไปมานั้นที่แท้แล้วจุดมุ่งหมายคืออะไร?"

พระผู้มีสมณศักดิ์สูงตอบว่า "เพื่อรับประทาน"

อุบาสกจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า "ในเมื่อจุดประสงค์คือเพื่อรับประทาน ท่านรับประทานหรือกระผมรับประทานก็ล้วนไม่ต่างกัน หรือว่าที่พระคุณเจ้าชิงมอบบะหมี่ชามใหญ่ให้กระผมนั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง มิใช่น้ำใสใจจริง?"

เมื่ออุบาสกกล่าวจบ พระผู้มีสมณศักดิ์สูงจึงได้รู้แจ้งกระจ่างใจ กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมา

ปัญญาเซน : การแสดงความเกรงใจที่มากเกินไปกลับกลายเป็นความเสแสร้ง การเคร่งครัดมารยาท มากพิธีจนเกินงามกลับกลายเป็นสิ่งไร้สาระ ทั้งนี้เพราะความซื่อสัตย์เปิดเผยจริงใจต่างหากจึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการเป็นมนุษย์

ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X

08 กุมภาพันธ์ 2554

ค่าของคน

ค่าของคน
《圆满报身》

ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง เฝ้าพร่ำถามอาจารย์เซนทุกวันว่า “สิ่งใดคือคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา?”

วันหนึ่ง อาจารย์เซนเดินออกมาจากห้องพร้อมกับก้อนหินหนึ่งก้อน จากนั้นเอ่ยกับศิษย์เจ้าปัญหาว่า “เจ้าจงเอาก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังท้องตลาด แต่ไม่จำเป็นต้องขายออกไปจริงๆ เพียงแค่ทำให้มีผู้มาเสนอราคาขอซื้อก็เพียงพอแล้ว ลองดูสิว่าตลาดจะให้ราคาของก้อนหินก้อนนี้เท่าไหร่”

ศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายยังท้องตลาด มีคนเห็นว่าหินก้อนนี้ทั้งใหญ่และเรียบสวย จึงให้ราคา 2 ตำลึง อีกผู้หนึ่งเห็นว่าหินก้อนนี้น่าจะนำไปทำเป็นลูกกลิ้งหรือลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักได้อย่างดี จึงให้ราคาถึง 10 ตำลึง หลังจากนั้น แม้ว่าจะมีผู้แวะเวียนเข้ามาชมดูก้อนหินมากมาย แต่ราคาที่สูงสุดที่ได้จากท้องตลาดคือ 10 ตำลึง

เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินกลับมายังวัด ก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ตนเร่ขายก้อนหินธรรมดาๆ จนได้ราคาถึง 10 ตำลึงให้อาจารย์ฟังด้วยความยินดียิ่ง

เมื่อฟังจบ อาจารย์เซนเพียงแต่กล่าวว่า “เจ้าจงนำหินก้อนนี้ไปเร่ขายอีกครั้ง ยังตลาดค้าทอง”

ศิษย์เซนจึงเดินทางไปยังตลาดค้าทอง จากนั้นนำก้อนหินออกมาเร่ขาย คราวนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีผู้เสนอราคาก้อนหินถึง 1 พันตำลึง จากนั้นราคาก็ขึ้นมาเป็น 1 หมื่นตำลึง และสุดท้ายจบลงที่ราคา สิบหมื่นตำลึง

เมื่อศิษย์เซนเห็นผลลัพธ์เกินความคาดหมายถึงเพียงนั้น จึงรีบกลับมารายงานอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนเพียงกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังตลาดค้าเพชรพลอย ซึ่งเป็นตลาดระดับสูงที่สุดดู”

เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายตามคำสั่งของอาจารย์ พบว่าราคาของก้อนหินขึ้นพรวดพราดไปเรื่อยๆ จากสิบหมื่นตำลึง ยี่สิบหมื่นตำลึง สามสิบหมื่นตำลึง จนกระทั่งมีผู้เข้าใจว่าที่ศิษย์เซนยังไม่ยอมตกลงใจขายก้อนหินเป็นเพราะยังไม่ได้ราคาเหมาะสม จึงเสนอให้ตั้งราคาขึ้นมาเองตามใจชอบอย่างไม่อั้นได้เลยว่าจะขายที่ราคาเท่าไหร่ ศิษย์เซนได้แต่อธิบายต่อผู้คนที่สนใจซื้อก้อนหินว่าตนทำตามคำสั่งอาจารย์ มิอาจขายก้อนหินออกไปจริงๆ ได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับวัด พร้อมทั้งบอกอาจารย์เซนว่า "ตอนนี้ราคาของก้อนหินพุ่งขึ้นไปถึงหลักสิบหมื่นตำลึงแล้ว”

เมื่ออาจารย์เซนฟังจบ จึงกล่าวว่า “นั่นก็ใช่แล้ว ที่ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ว่าชีวิตมีคุณค่าเพียงใด ก็เพราะนั่นจะเป็นการตีราคาชีวิตของเจ้าโดยผ่านมุมมองภายนอกไม่ต่างจากการตีราคาก้อนหิน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วคุณค่าของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องกระจ่างอยู่ภายในจิตใจของคนผู้นั้นเอง จงมีสายตาแหลมคมดั่งนักค้าเพชรพลอยเสียก่อน จึงจะสามารถเห็นซึ้งถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา”

ปัญญาเซน : มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง จงตระหนักในคุณค่าแห่งตน ยอมรับตนเอง ฝึกฝนตนเอง ให้ช่องว่างกับตัวเองได้เติบโต ทุกคนล้วนสามารถกลายเป็นสิ่งมีค่าอันประเมินมิได้ ทุกขวากหนาม ทุกความเจ็บปวด ทุกความพ่ายแพ้ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างยิ่งต่อชีวิตของคนเรา

ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ