ดูข่าวช่อง 5 แล้ว รู้สึกเหมือนเป็นจำเลย (ไม่รู้จำเลยรักหรือเปล่า อิอิ ^_^ )
ข่าวคุณภาพการศึกษาที่ประเทศไทยถูกประเมินให้อยู่ในอันดับโหล่ของอาเซียน เมื่อมีข่าวนี้ขึ้นมา หลายคนก็รีบมีโครงการสำหรับแก้ไขปัญหาทันที (จะหมดงบแล้ว...)
เราถูกยัดเยียดให้เป็นจำเลยในทุกกรณี และก็จะไม่ขอแก้ต่างใดใด เพียงแต่ขอตอบข้อสงสัยของหลายๆท่าน ที่บอกว่า ทำไม การจัดการศึกษาจึงเกิดผลดังกล่าว
ผมไม่มั่นใจว่า ผลที่เค้าเอามาประเมิน เกิดจากข้อสอบ PISA หรือเปล่า ซึ่งการทดสอบนี้ ได้จัดทดสอบนักเรียน ม.3 ของโรงเรียนมัธยมทุกโรงเรียน ซึ่งก็เป็นค่าเฉลี่ยออกมา (โรงเรียนดังๆก็ถูกฉุดลงมาด้วยค่าเฉลี่ย)
เราไม่้แปลกใจที่ทำไม เราถึงถูกยัดเยียด เพราะหลายคน ต่างมองด้วยมุมของตนเอง จึงตัดสินใจด้วยสิ่งที่ตนเห็น ตนมีข้อมูล
เช่น ผมเคยโดยสั่งให้ไปอบรมที่อำเภอเมืองกำแพงเพชร โดยกำหนดการณ์เสร็จ 16.30 น. ผมก็ร้องขอท่านผู้อำนวยการว่า เปลี่ยนคนไปได้ไหม ให้คนที่อยู่กำแพงไปได้ไหม ผอ.ก็บอกว่า ไปเถอะ คนอื่นเค้าไม่ว่าง มีรถกลับพิษณุโลก ตลอดเวลา
...ผมขึ้นรถเที่ยวสุดท้ายจากกำแพงเพชร มาถึงพิษณุโลกเกือบสองทุ่ม นั่นเพราะ เวลา ผอ. สั่งให้ไปอบรม เค้ามองในมุมที่เค้าขับรถยนต์ไป
แม่ของผม ซึ่งขนมให้ผมเอาไปเลี้ยงเด็กนักเรียนที่โรงเรียน ตอนซื้อเลือกชิ้นใหญ่ๆ เด็กจะได้กินอิ่มๆ แต่ปัญหามันก็เกิดขึ้น คือผมจะเอาไปโรงเรียนได้อย่างไร เพราะผมขี่มอเตอร์ไซต์... นั่นเพราะ แม่ผมมองในมุมที่แม่ขับรถยนต์ไปโรงเรียน
ผมไม่แปลกใจหรอก เพราะแม้แต่นักข่าวไปสัมภาษณ์ ผอ. สัมภาษณ์ครู เค้าก็สัมภาษณ์โรงเรียนใหญ่ๆ โยธินฯ มัธยมวัดนายโรงฯ ทำไมไม่มาสัมภาษณ์โรงเรียนเล็กๆ ในหลืบ ในดอย บ้าง ทุกคนจะได้เห็นเหมือนกัน
ผู้บริหารระดับสูงก็เช่นกัน คนนี้มาเอาอย่างหนึ่ง พอเปลี่ยนคนเอาอีกอย่างหนึ่ง ผมยังจำได้ ที่มีนโยบายให้นักเรียนมัธยม ไปเรียนทำนา เรียนช่าง เรียนค้าขาย (เบียดบังเวลาเรียนวิทย์ คณิต ไทย สังคม ฯลฯ) โดยอ้างว่า เตรียมพร้อมสู่อาเซียน
จำนวนบุคลากรก็มีส่วนสำคัญ โรงเรียนใหญ่ มีบุคลากรมาก แบ่งงานกันเป็นสัดส่วน ในขณะที่โรงเรียนเล็กๆ ครูคนเดียว อาจแบกภาระทั้งการสอน เป็นฝ่ายวิชาการ ฝ่ายระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ฝ่ายยาเสพติด และฝ่ายการเงิน ในคนๆเดียว
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ผมกำลังสอนอยู่ มีเจ้าหน้าที่มาขอข้อมูล ผมก็ต้องผละจากการสอนเพื่อมาให้ข้อมูล ... ก็เท่ากับว่า ผมไม่ได้สอน
...แต่ถ้าไม่มาให้ข้อมูล โรงเรียนก็จะถูกเล่นงาน
วันต่อมา ขณะที่ไปถึงโรงเรียน ยังไม่ทันถอดเสื้อคลุม ถอดกระเป๋าคอมพิวเตอร์ ก็ต้องรีบกรอกข้อมูลด่วน เพราะจะต้องรายงานก่อน 09.00 น.
...อืมมม มันพูดยากครับ ยังไม่รวมการเตรียมเอกสาร การทำรายงานแบบฟอร์มต่างๆ การอบรม ประชุม สัมมนา การรายงานข้อมูลผ่านเว็บ ผ่านกระดาษ ผ่านเมล์ ผ่านโทรศัพท์
...ยังไม่รวมถึงเรื่องงบประมาณ ที่มัน.. มัน... มัน... (เฮ้อ พูดไม่ออกครับ) เอาเป็นว่า 1 เทอม ผมได้รับเงินบริหารห้องวิทยาศาสตร์ 500 บาท ในขณะที่โรงเรียนใหญ่ๆได้หลักหมื่น เหอะๆๆๆๆ (ดังนั้น อุปกรณ์วิทย์ที่ผมซื้อได้คือ ดับเบิ้ลเอ 2 รีม ไม่กวาด 1 ด้าม ปากกาไวท์บอร์ด 16 ด้าม)
โชคดีของนักเรียนผม ที่ยังพอได้อ่านชีท อ่านหนังสือ ได้ดู ebook ที่ผมทำไว้แก้ปัญหา ซึ่งก็ได้มาจากน้องๆที่มาเรียนนอกเวลากับผม ซึ่งผมได้บอกกับบางคนเท่านั้นให้รู้ว่า เงินที่เค้าเอามาให้นั้น ส่วนหนึ่ง ก็ได้เพิ่มโอกาสกับเด็กบ้านนอก ที่มีโอกาสน้อยกว่าพวกเขาไม่รู้กี่พันเท่า
...สรุปว่า ไม่ว่าต่อไป เราจะต้องปฏิรูปการศึกษาอย่างไร ครูไทยก็ต้องสู้ต่อไป เพราะลูกศิษย์ทุกคน คือลูกเรา
^_^
https://www.facebook.com/atphitsanulok
........................................................
...............................