31 ตุลาคม 2555

ต้อนรับวันปล่อยผี กับความเชื่อหลอนทั่วโลก (ที่เจน ญาณทิพย์ อาจจะยังไม่เคยสัมผัสได้)

   วันนี้ เป็นวันปล่อยผีของชาวฝรั่งมังค่า ปีหนึ่งมีเพียงครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน ครูแชมป์เชื่อว่า ของคนไทยยังมีวันปล่อยผีเยอะว่า (เพราะปล่อยกันทุกวันพระใหญ่ 55+) ตอนนี้ อาจจะยังมีพลังงานบางอย่าง ที่ยังไม่กลับขุมนรกควัญหลงออกพรรษารอส่วนบุญอยู่ก็ได้

   เรามีดูว่า 13 ความเชื่อของฝรั่ง มีอะไรกันบ้างครับ

   1. แมวดำ
ตาม ความเชื่อแต่โบราณของตะวันตก แมวดำถือเป็นสัญลักษณ์แห่งลางร้าย และถูกเชื่อมโยงกับลัทธิแม่มด ในหลายๆ วัฒนธรรมเชื่อว่าหากโดนแมวดำวิ่งตัดหน้า นั่นเป็นลางบอกเหตุว่าคุณกำลังจะเจอเรื่องเลวร้ายจนอาจถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้แมวดำยังเป็นของแสลงสำหรับเหล่านักพนัน โดยเชื่อกันว่าหากพวกเขาเห็นแมวดำขณะกำลังจะเดินทางไปเล่นพนันที่กาสิโนแล้ว ล่ะก็ เขาควรจะล้มเลิกแผนการที่จะไปเสี่ยงโชคในวันนั้นไปเลย

แต่ทั้ง นี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ว่าแมวดำจะเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด ในวัฒนธรรมของบางประเทศเช่นญี่ปุ่น อังกฤษ และไอร์แลนด์นั้นมีความเชื่อที่ตรงกันข้าม เพราะแมวดำสำหรับพวกเขาแล้วเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งโชคดีนั่นเอง

2. ละครสกอตแลนด์
เหล่า นักแสดงก็ถือเป็นกลุ่มคนที่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อด้านไสยศาสตร์ เช่นกัน และดูเหมือนว่าจะไม่มีกรณีไหนที่ชัดเจนเท่ากับละครโศกนาฏกรรมเรื่อง “แม็คเบ็ธ” ของเช็คสเปียร์อีกแล้ว (แสดงโดยเอียน แมคเคลเลน และ จูดี้ เดนช์ ในปี 19671) มีความเชื่อว่าหากมีคนพูดชื่อ 'แม็คเบ็ธ' ในโรงละคร (ที่ไม่ใช่การพูดระหว่างเล่นละครเรื่องนี้) จะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายบางอย่างกับการเล่นละครครั้งนั้น ดังนั้นเหล่านักแสดงจึงเลี่ยงไปใช้คำว่า 'The scottish Play' หรือ ละครสกอตแลนด์ แทน นอกจากนี้การแสดงละครเรื่องแม็คเบ็ธยังถูกกล่าวขวัญว่าเป็นสิ่งที่นำมาซึ่ง ความหายนะ เนื่องมาจากการแสดงละครเรื่องนี้ครั้งแรก ได้เกิดเหตุการไม่คาดฝันขึ้น โดยนักแสดงหลักต้องเสียชีวิตกลางเวทีเมื่อสิ่งที่ควรเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากใน การแสดงนั้น กลับกลายเป็นมีดของจริง

เรื่องลี้ลับเกี่ยวกับวงการการ แสดงอีกเรื่องที่รู้จักกันดีคือการอวยพรนักแสดงก่อนขึ้นเวทีว่า 'โชคดีนะ' ซึ่งนั่นจะนำสิ่งที่ให้ผลตรงกันข้ามมา ดังนั้นนักแสดงจึงเปลี่ยนคำอวยพรให้กันเป็น 'ขอให้ขาหักนะ' โดยเชื่อว่าการแช่งแบบนี้จะให้ผลตรงกันข้ามและนำมาซึ่งสิ่งดีๆ แทน อย่างไรก็ตามต้นกำเนิดของความเชื่อนี้ยังคลุมเครือ แต่ก็เชื่อกันว่าถูกลือกันมาตั้งแต่ช่วงปี 1920 แล้ว

3. การ์กอยล์
การมีรูปปั้นหน้าตาอัปลักษณ์ไว้ตามอาคารบ้านเรือนอาจจะดูไม่ใช่เรื่องสมควร เท่าไรนัก แต่จากที่เราเห็นๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นแนวอัปลักษณ์ที่เรียกว่า 'ฮังค์กี้ พังค์' หรือรูปปั้นที่มีท่าทางสื่อไปในทางเพศแบบค่อนข้างน่าเกลียดอย่าง 'ชีล่านากิก' ในประเทศไอร์แลนด์ รวมถึง 'การ์กอยล์' ในประเทศอังกฤษ ซึ่งเหมือนกับที่ตั้งอยู่เหนือวิหารนอเทรอ-ดาม แห่งปารีส – ทั้งหมดได้พิสูจข้อสันนิษฐานนั้นแล้วว่าไม่จริงเสมอไป ในทางทฤษฎีแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเหมือนมนตราที่ช่วยขจัดความชั่วร้าย ไปจนถึงขับไล่ปีศาจ และสำหรับการติดรูปปั้นการ์กอยล์นั้นมีจุดประสงค์อื่นแฝงไว้คือ ปากของมันจะหน้าหน้าที่เป็นรางรองน้ำฝนบนหลังคาโบสถ์ไปด้วย

4. ไพ่ในมือคนตาย
ไพ่คู่ 8 ดำ และคู่เอซดำ รวมกับไพ่อะไรก็ได้อีกใบหนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นไพ่แห่งความโชคร้ายในการเล่นโป๊กเกอร์ (แม้ความจริงแล้วจะดูเหมือนเป็นแต้มที่ค่อนข้างดีก็ตาม) ทำไมน่ะหรือ? เพราะตำนานบอกไว้ว่านี่คือไพ่ในทือของ 'ไวล์ บิล ฮิกค็อก' ทนายความและมือปืนสุดเหี้ยมแห่งตะวันตก ขณะที่เขาถูกยิงตายระหว่างที่เล่นโป๊กเกอร์ที่เดดวู้ดในปี 1876 โดยมีหลักฐานที่พิสูจน์เรื่องนี้อยู่เล็กน้อย แต่ไม่มีใครในยุคนี้ที่บอกได้ว่าจริงๆ แล้วไพ่ในมือของเขาคืออะไร แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความเชื่อในเรื่องนี้หายไปจากวงการนักพนันได้ หากคุณเคยเห็นตัวละครในภาพยนตร์ถือไพ่เลขนี้อยู่ นั่นเป็นโอกาสอันดีซึ่งเขาจะได้จบชีวิตแบบศพไม่สวยในไม่ช้า

5. การไขว้นิ้วมือ
ารไขว้นิ้วมือเพื่อขอให้โชคดี (หรือจะเพื่อโกงไม่ทำตามสัญญาก็แล้วแต่) เป็นสิ่งที่ทั่วโลกรู้จักกันดี แต่จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ดูจะไม่ชัดเจนนัก โดยอาจเริ่มมาจากประเทศคริสเตียนที่ระบุว่าการทำสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น เชื่อมโยงกับการไขว้กันของไม้กางเขนในศาสนาคริสต์ อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานอื่นระบุว่าความเชื่อดังกล่าวไม่เกี่ยวกับศาสนา แต่อาจเป็นการแสดงท่าทางอย่างหนึ่งของชาวนอร์เวย์ หรือเป็นความเชื่อที่สร้างขึ้นโดยนักธนูในสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและ ฝรั่งเศสมากกว่า (นักยิงธนูจะใช้นิ้วทั้งสองเพื่อเหนี่ยวคันธนู)

6. กระจกเงาที่แตกร้าว
ความเชื่อโดยทั่วไปมีอยู่ว่า กระจกเงาที่แตกร้าวนั้นจะทำให้ผู้ใช้โชคร้ายไปถึง 7 ปี ความคิดนี้เชื่อมโยงกับไอเดียที่ว่ากระจกเงานั้นเป็นสิ่งที่กักเก็บดวง วิญญาณของคุณ ดังนั้นหากมันแตกออก นั่นหมายถึงดวงวิญญาณของคุณก็แตกด้วยเช่นกัน จึงเป็นสาเหตุที่วัฒนธรรมของบางท้องที่จะทำการคลุมกระจกเงา รวมถึงพื้นผิวของสิ่งต่างๆ ที่สามารถสะท้อนภาพได้ เพื่อให้ดวงวิญญาณสามารถออกจากบ้านได้โดยไม่ถูกกระจกเงากักเอาไว้เมื่อมีใคร สักคนในบ้านตายลง

7. วันกราวด์ฮ็อก
ความ เชื่อที่ว่าสัตว์จำพวกหนูขนาดใหญ่นั้นสามารถพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ (ถ้ามันจ้องมองเงาของตัวเองนั่นหมายถึงฤดูใบไม้ผลิจะเข้ามาเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่ก็แปลว่าจะเป็นฤดูหนาวอย่างน้อย 6 สัปดาห์) อาจฟังดูน่าหัวเราะ แต่นั่นก็ไม่ทำให้กิจกรรมนี้หมดความนิยมไปในสหรัฐฯ หรือแคนาดาได้ เนื่องมาจากตัวกราวด์ฮ็อกที่ดังที่สุดชื่อว่า  Punxsutawney Phil แห่งเพนซิลวาเนียได้เข้าไปอยู่ในภาพยนตร์จนเป็นที่นิยมอย่างล้นหลาม มีแฟนคลับติดตามการทำนายอยู่ตลอด โดยประเพณีการทำนายเงาเช่นนี้เริ่มจากความเชื่อของเยอรมันสมัยโบราณในเรื่อง ของวัน Candle mas ซึ่งความเชื่อดังกล่าวถูกนำเข้ามายังอเมริกาโดยผู้อพยพของเยอรมัน

แล้ว Punxsutawney Phil ตัวนี้ทำนายสภายอากาศได้แม่นยำแค่ไหนกัน? คำตอบคือ ค่อนข้างห่วย สถิติการทำนายของมันถูกต้องเพีย 39 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง

8. เกลือหก
เป็น ความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าการทำเกลือหกโดยไม่ตั้งใจนั้นถือเป็นลางบอกเหตุ ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น จากตำนานระบุว่าเป็นความเชื่อจากวัฒนธรรมของคริสเตียน โดย ยูดาส อิสคาริโอท หนึ่งในอัครทูตของพระเยซูได้ทำเกลือหกระหว่างอาหารมื้อสุดท้ายหรือที่เรียก ว่า The last supper ก่อนเขาจะทรยศพระเยซู โดยในความเป็นจริงแล้วก็มีคำบอกเล่าที่ฟังดูเข้าทีอยู่จนถึงปัจจุบันคือ เกลือนั้นมีราคาแพง ดังนั้นการทำเกลือหกก็แปลว่าโชคไม่ดีแล้ว นอกจากนี้ความเชื่อเรื่องเกลือหกยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและความ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งการที่คุณถูกเกลือหกใส่โดยฝีมือเจ้าของบ้านนั้นเป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย

กรณี ของเรื่องนี้ใกล้เคียงกับเรื่องแมวดำอย่างมาก เพราะการทำเกลือหกนั้นให้ผลเดียวกับการเจอแมวดำ สำหรับความเชื่ออื่นๆ มีอยู่ว่าการเหยาะเกลือข้ามไหล่ซ้ายจะทำให้โชคดี และเป็นการป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้

9. เลข 666
“Hexakosioihexekontahexaphobia” คือชื่อทางวิทยาศาสตร์ของโรคกลัวเลข 666 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อตัวเลขปีศาจ ความเชื่อลี้ลับนี้มาจากศาสนาคริสต์ โดยเชื่อว่าเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขแห่งซาตานในพระคัมภีร์ไบเบิล ความเชื่อนี้เริ่มเป็นแพร่หลายไปมากขึ้นจากภาพยนตร์เรื่อง The Omen (ตามภาพบน) และจากกรณีที่อดีตประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนได้เปลี่ยนบ้านเลขที่ของเขาหลังจากสิ้นสุดตำแหน่งประธานาธิบดีจาก 666 เป็น 668 แทน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจผิดมาตลอด เพราะในปี 2005 ได้มีผู้รู้ออกมาเปิดเผยหลักฐานว่าตัวเลขดังกล่าวนั้น แท้จริงต้องเป็นเลข 616 ไม่ใช่ 666 อย่างที่เข้าใจกันนั่นเอง

10. การลอดใต้บันได
การเดินลอดใต้บันไดนั้นเชื่อกันว่าจะทำให้เกิดเรื่องโชคร้าย แม้ว่าบางทฤษฎีจะเสนอว่านี่เป็นการกระทำเพื่อใช้บันไดแทนรูปสามเหลี่ยมที่ แสดงถึงพระตรีเอกภาพในศาสนาคริสต์ ที่ประกอบด้วยพระบิดา พระบุตร และพระจิต แต่คำอธิบายง่ายๆ ที่สมเหตุสมผลที่สุดคือการเดินลอดบันไดนั้นอาจเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุได้ นั่นเอง ซึ่งเป็นเพียงคำแนะนำเพื่อความปลอดภัย หาใช่เรื่องลี้ลับอะไรไม่

11. จดหมายลูกโซ่
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนาน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1888 จดหมายที่มีเนื้อหาเป็นเชิงคำสั่งว่าให้คัดลอกแล้วส่งต่อไปเรื่อยๆ มักจะมีคำเตือน หรือขู่ว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นหากผู้ทีได้รับจดหมายไม่ทำตาม (พร้อมยกตัวอย่างเรื่องร้ายๆ บางเรื่องที่จะเกิดขึ้นหากไม่ส่งต่อ) ซึ่งการพัฒนาขึ้นมาของอีเมล์และสังคมออนไลน์นั้นทำให้การส่งต่อข้อความใน จดหมายกลายเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้น จนทำให้จดหมายลูกโซ่แพร่หลายไปอย่างมาก ในขณะเดียวกันบางคนก็ใช้จดหมายพวกนี้หาเงินอย่างเจ้าเล่ห์ เหตุผลที่แท้จริงในการค้องส่งจดหมายลูกโซ่ต่อๆ กันไปนั้นยังคงคลุมเครือ... หรือจะเป็นเพราะเราแค่อยากเห็นว่าจดหมายจะกระจายไปได้ไกลแค่ไหนกันแน่

12.ผีเสื้อแม่มด
ผีเสื้อ แม่มด (The Black witch moth) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ascalapha odorata เป็นสัญลักษณ์แห่งความตายและความโชคร้ายประจำทะเลแคริเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ในเม็กซิโกเชื่อกันว่าหากผีเสื้อชนิดนี้บินเข้าไปในบ้านที่มีคนป่วยอยู่ นั่นหมายถึงความตายกำลังจะมาเยือนพวกเขาแล้ว ในจาไมก้านั้นเป็นที่รู้จักในชื่อ “Duppy Bat” และเชื่อกันว่ามันคือวิญญาณที่หลงทางซึ่งจะทำโชคร้ายมาให้ ทั้งนี้ ดูเหมือนผีเสื้อกลางคืนชนิดดังกล่าวจะเป็นผีเสื้อเพียงพันธุ์เดียวเท่านั้น ที่เกี่ยวโยงกับความเชื่อลี้ลับ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะในวัฒนธรรมของอเมริการกลาง ผีเสื้อกลางคืนทุกชนิดเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับความตายได้ทั้งสิ้น

ผีเสื้อ แม่มดดำนั้นยังปรากฏอยู่อย่างน่ากลัวในนวนิยายเรื่อง The Silence of the Lambs แต่ในเวอร์ชันภาพยนตร์นั้นใช้ผีเสื้อหัวกะโหลกแทนเพราะดูน่ากลัวกว่า

13. หมายเลข 13 
ต้น กำเนิดตำนานเลขโชคร้ายเบอร์ 13 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกนั้นยังไม่ชัดเจนนัก บางทฤษฎีระบุว่าเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับศาสนาคริสต์ (ซึ่งมาจาก The Last Supper เมื่อจูดาสกล่าวว่าเขาจะนั่งตรงตำแหน่งที่ 13 ของโต๊ะ), ตำนานไวกิ้ง (เทพผู้คดโกงนามโลกิเป็นเทพองค์ที่ 13 พอดี) และตำนานจักรราศีของเปอร์เซีย (ซึ่งมีสัญลักษณ์ 12 อัน โดยทิ้งอันที่ 13 ไว้เป็นตัวแทนแห่งความวุ่นวายและความขัดแย้ง) โดยเรื่องสยองขวัญของศุกร์ 13 นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยผนวกเอาความเชื่อลี้ลับสองประการเข้าด้วยกัน นั่นคือความน่ากลัวของเลข 13 และความเชื่อว่าวันศุกร์คือวันแห่งความโชคร้าย

โรคกลัวเลข 13 นั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า triskaidekaphobia นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่รู้กันดีว่าทำไมอาคารหลายแห่งจึงไม่มีชั้น 13 พอเลยจากชั้น 12 ก็ไปชั้น 14 เลย

(ใครอ่านจนครบ 13 ข้อ แล้วไม่ส่งต่อ ก็จะเกิด.... 555+ เอาทั้งเลข 13 และจดหมายลูกโซ่มารวมกันเลยครับ เรื่องจดหมายลูกโซ่ต้องยอมรับจดหมายในตำนานเลยครับ นั่นคือ จดหมายจากท่านพระครูธรรมโชติ )

ที่มา msn.com

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

27 ตุลาคม 2555

จากปฏิทินมายา สู่วันสิ้นโลก 2012 แต่...

 
   ชาวมายันในกัวเตมาลา เรียกร้องขอให้รัฐบาลและผู้จัดทัวร์ทั้งหลายหยุดบิดเบือนปฏิทินมายา และนำปฏิทินมายันไปหากิน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

   ผลสืบเนื่องมาจากตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีผู้นำปฏิทินมายาไปตีความเชื่อมโยงกับวันสิ้นโลก และมีการนำการตีความผิดๆ ดังกล่าวไปนำเสนอสู่สายตาสาธารณชนทั้งในรูปแบบของภาพยนตร์ และสารคดี ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ไปทั่วโลก

   ขณะที่บริษัททัวร์ก็ได้นำปฏิทินมายามาเป็นจุดขาย ดึงดูดให้ผู้คนจองทัวร์แห่มาฉลองวันที่เชื่อว่าเป็นวันสิ้นโลก พร้อมกับอธิบายเรื่องวันสิ้นโลกอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว

   ผู้นำชนเผ่ามายัน เผยว่า "พวกเราขอต่อต้านการโกหก หลอกลวง และบิดเบือนเรื่องปฏิทินมายา เพื่อนำมาหากินกอบโกยผลประโยชน์ โดยที่ไม่ยอมบอกความจริงกับประชาชนเรื่องความหมายที่แท้จริงของปฏิทินมายาว่ามันคือการสิ้นสุดของรอบปฏิทินเท่านั้น ซึ่งตามความเชื่อของชนเผ่ามายัน การเริ่มต้นปฏิทินรอบใหม่ หมายถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับตัวเอง ครอบครัว และสังคม และจะเกิดความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไม่ได้มีความหมายอื่นใดนอกเหนือจากนี้"

   หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวควรจะคิดใหม่อีกครั้ง เกี่ยวกับการนำปฏิทินไปบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ เพราะนี่ถือเป็นการดูหมิ่นอารยธรรมของชาวมายันเลยทีเดียว


ข้อมูลโดยwww.talkystory.com/

ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

16 ตุลาคม 2555

ขอเทียบตำแหน่งครูเท่าข้าราชการพลเรือน เพื่อสิทธิในการขอพระราชทานเครื่องราชฯ


ขอเทียบตำแหน่งครูเท่าข้าราชการพลเรือน เพื่อสิทธิในการขอพระราชทานเครื่องราชฯ

   นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการ ก.ค.ศ. เปิดเผยว่า การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาปัจจุบันนี้ จะต้องใช้หลักเกณฑ์ตามบัญชี 7 แนบท้ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ.2536 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่จะขอพระราชทานเครื่องราช ชั้นสายสะพาย ป.ม.ได้ ต้องดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาและเงินเดือนถึงขั้นสูงของระดับ 8 (53,080 บาท) และขอได้ในปีก่อนปีที่จะเกษียณอายุราชการ หรือในปีที่เกษียณอายุราชการเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากข้าราชการพลเรือนสามัญ ในปัจจุบันที่ได้ใช้หลักเกณฑ์ตามบัญชี 41 ที่กำหนดให้ผู้ขอดำรงตำแหน่งชำนาญการพิเศษและได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูง (53,808 บาท) สามารถเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ป.ม.ได้

   เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ก.ค.ศ. จึงเห็นว่าตามโครงสร้างของตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีลักษณะเป็นตำแหน่งทางวิชาการเนื่องจากมีการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะอยู่แล้ว จึงได้เสนอสำนักงานก.พ.ขอเทียบตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตำแหน่งครูผู้สอน ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด เทียบเท่ากับตำแหน่งข้าราชพลเรือนสามัญ ประเภทวิชาการ ตามหลักเกณฑ์บัญชี 41 เพื่อประโยชน์ในการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่ง ก.พ. ได้อนุมัติให้เทียบตำแหน่งดังกล่าวได้ เช่น ตำแหน่งครูวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ หรือผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เทียบได้กับข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ เป็นต้น

   นางศิริพร กล่าวอีกว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาฯ ได้เสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา ดังนั้น การขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จึงยังไม่สามารถถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์บัญชี 41 เหมือนกับข้าราชการพลเรือนสามัญ ของ ก.พ. ได้ ทำให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ไม่อาจใช้หลักเกณฑ์บัญชี 41 ได้ทัน สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้มีหนังสือที่ ศธ.๐๒๐๖.๘/๓๗๐ ลงวันที่ 28 กันยายน 2555 แจ้งเวียนไปยังส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติแล้ว  โดยหากประสงค์จะเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ป.ม. ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ขอให้ต้นสังกัดเสนอรายชื่อพร้อมรายละเอียดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเสนอสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษต่อไป

ที่มา  : แนวหน้าออนไลน์  09  ตุลาคม  2555


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................


07 ตุลาคม 2555

การให้ครูไปปฏิบัติธรรม


บางอย่าง ผู้ใหญ่ ก็ใช้อำนาจหน้าที่เกินไป
พอนายบอกว่า ให้ครูปฏิบัติธรรม ก็อาศัยอำนาจนโยบายนั้น บังคับครูไปปฏิบัติ ณ สถานที่ที่ตนเชื่อ ศรัทธา นับถือ โดยไม่ดูจริตของคนอื่นๆ

บ้างก็เชื่อในลัทธิใหม่ ก็เอาลัทธินั้นเข้าสู่โรงเรียน ซินแส เดินเข้าออกโรงเรียนเป็นว่าเล่น
บ้างก็เชื่อในลัทธิบางลัทธิ ก็ขวนขวายสร้างโอกาสครอบงำครู นักเรียน
บ้างก็เชื่อในมหานิกาย ธรรมยุิต ฯลฯ

บางสิ่งบางอย่าง ถ้าถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมีโอกาสได้รู้อะไรหลายๆอย่าง คุณจะรู้เลยว่า ทำไม จริตของคนอื่นๆ จึงไม่มีความสุขเวลาไปปฏิบัติธรรม...

เคยเห็นพระนั่ง"กินกาแฟ" คุยเรื่องการเมืองใหม่
เคยเป็นแม่ชี มีทีวีดู แล้วไม่ยอมไปทำวัตร เพราะเชื่อว่า ตนพ้นจุดนั้นไหม
เคยเห็นแม่ชี ถือเงินไปซื้อกับข้าวในตลาดเป็นถุงๆไหม
เคยเห็นในห้องพักปฏิบัติธรรม มีจาน ชาม ช้อน น้ำปลา ฯลฯ ไหม

...การเป็นผู้ใหญ่ มันดีอย่างนี้นี่เอง คือ สามารถสร้างโอกาสให้ชักจูงบุคคลอื่นให้เชื่อในสิ่งที่ตนเชื่อได้ ด้วยอำนาจที่เรียกว่ามือที่มองไม่เห็น
...การบังคับให้คนปฏิบัติธรรมโดยไม่ถูกจริต ก็ไม่ต่างอะไรกับเทน้ำบนสนามบาสเก็ตบอล เดี๋ยวมันก็แห้งหายไป

...สู้ให้เค้าไปปฏิบัติในวัด ในสถานที่ที่เค้าชอบ เค้าถูกจริต แล้วกลับมาทำรายงานดีกว่า เพราะคนที่ตั้งใจไปทำจริงๆ ก็เยอะ และไม่ต้องไปคิดแทนเค้าว่า เดี๋ยวก็โกหก สร้างหลักฐานเท็จ เพราะคนเขาจะคิดว่า ท่านเอาประสบการณ์ตัวเองที่เคยทำ มาตัดสินคนอื่น  ถ้าเค้าโกหกจริง บาปกรรมก็มีจริง ไม่ต้องไปตัดสิน ไปลงโทษเขาหรอก หากเขาโกหกว่าไปทำความดี ไปฏิบัติธรรมมา เพื่อเอาตัวรอดไปปีหนึ่งๆ ลูกหลานของเขา ก็คงจะทำกับเขาเช่นกัน (คล้ายๆกับโกงเงินถวายพระ โกงควายที่ถูกไถ่ชีวิต) ประมาณนั้นครับ

(เขียนตอนฟังนโนบายของใครบางคน ทางทีวี)



ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

16 กันยายน 2555

มองให้ครบทุกมุม

   ...คุณเคยตัดสินใครผิดพลาดหรือเปล่า

   ผมว่า ทุกคนก็เคย ผมเองก็ยังเคย นั่นเพราะ เราตัดสินคนๆนั้นด้วยข้อมูลที่เรามี ด้วยความรู้สึกที่เรามี แล้วเราก็กลับมาเสียใจและรู้สึกผิดที่หลัง ว่าเราไม่ควรคิดกับเขาแบบนั้น

   บางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นในหัวข้อครูบ้านนอกอย่างครูแชมป์ ตอนนั่งดูแก้วโกโก้

     เรามองด้านนี้ เราเห็นหูของแก้ว ในขณะที่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับมองเห็นว่า มันเป็นแก้วเปล่าๆ ไำม่มีหู นั่นเพราะ เขามองคนละมุมกับเรา

    มันก็คงเหมือนกับที่หลายคนกำลังตัดสินเราอยู่
    บางคนเค้าอาจมองว่า การที่ผมออกมาประชุม อบรม สัมมนา เป็นวิทยากร เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย เป็นการเบียดบังเวลาราชการ เอาเวลามาทำงานส่วนตัว

     ผมกำลังมองว่า สิ่งต่างๆที่กล่าวมา เป็นการทำงานส่วนตัวในส่วนไหน
     คนที่เค้าพูด เค้าเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ ว่าใน 1 ปีการศึกษา เค้าไปอบรมในนามของโรงเรียนกี่ชั่วโมง (ไม่นับที่เค้าสมัครใจอบรมเพื่อประโยชน์ของตัวเองนะจ๊ะ)
     เค้าเคยโดนโทรศัพท์ตอนสามทุ่มครึ่งสั่งให้ไปอบรมในวันพรุ่งนี้หรือไม่
     เค้าเคยโดนโทรศัพท์ตอนกำลังจะออกบ้านไปโรงเรียน ให้ไปประชุมแทนการเข้าโรงเรียนหรือไม่
     เค้าเคยโดนโทรศัำำพท์ให้เตรียมตัวให้เข้าไปถ่ายรูปน้ำท่วมในโรงเรียนหรือไม่
     เค้าเคยโดนโทรศัพท์ให้ย้อนกลับไปประชุมกรรมการแข่งขัน ตอนที่กำลังขี่รถไปถึงครึ่งทางแล้วหรือไม่
     เค้าเคยต้องนำสิ่งที่โดนอบรม ประชุม สัมมนา กลับมาทำงานต่อ มาขยายผล มาเขียนรายงาน เขียนแผนปฏิบัติการหรือไม่ ฯลฯ

     ...แม้กระทั้งการสอนพิเศษที่ผมต้องสอนนักเรียนที่อื่นเพิ่มนั้น เพราะผมมีเหตุผลอะไร

     คุณรู้หรือไม่ เวลาที่ผมบอกเหตุผลไปบางคนบอกว่า งบประมาณไปอยู่ที่ไหนหมด ทำไมเค้าไม่จัดซื้อจัดหา ผมมาทราบในภายหลังว่า เค้ามองภาพโรงเรียนของผมมีเนื้อที่ 10 ไร่ มีเด็กนักเรียนเกือบพัน มีครูครึ่งร้อย มีผู้ปกครองที่ร่ำรวยพร้อมที่จะให้การสนับสนุน

     แต่ในโลกของความเป็นจริง โรงเรียนผมมีนักเรียนเพียง 99 คน งบประมาณสนับสนุนก็เลยน้อยตาม ทั้งๆที่มีนักเรียนระดับมัธยมต้นอยู่ด้วย

     หนักไปกว่านั้น นอกงานงบประมาณจะน้อยแล้ว จำนวนครูก็ลดลงตามจำนวนเด็ก ทั้งๆที่ก็ยังต้องสอนระดับมัธยมอยู่ เอาเป็นว่า คุณลองนึกถึงครูที่ไม่ได้จบคณิตศาสตร์ ต้องมาสอนคณิตศาสตร์ นอกเหนือจากการสอนวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ไปด้วยกัน

     คุณภาพ คงไม่ต้องพูดถึง...

     เรื่องสามัญสำนึกของความเป็นครู เราก็เชื่อว่า ครูทุกคนล้วนต้องการให้นักเรียนอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งงบประมาณดังที่กล่าวมา ทั้งสื่อการสอน ผมพูดตรงๆ ผมอยากซื้อ VCD คณิตศาสตร์ ของระดับ ม.3 มาเปิดให้เด็กๆดู แต่ติดด้วยราคาชุดละสามพันสามร้อยกว่าบาท อยากมีจอโปรเจคเตอร์มาฉายในห้องวิทยาศาสตร์ จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นเดินลง ไม่ต้องรบกวนคนอื่น อยากได้เอ๊กซ์ทานอล ฮาร์ดดิกส์ มานำไฟล์ VDO ไฟล์ข้อมูลสาระน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ มาเปิดให้เด็กๆดู

     ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเงินเดือนของผมยังน้อยมากๆ

    ทางเดียวที่ผมจะหามาได้ คือมีผู้สนับสนุน หรือก็ต้องเก็บเงินซื้อเอง....

     เท่าที่พูดมา คือผมกำลังจะอธิบายให้หลายคนที่คิดว่า ผมเป็นพวกสอนพิเศษที่หวังรวย หากินกับเด็กๆ ผมเองก็อยากตอบว่า เอาไว้ผมเอาเวลาไปขายตรง ขายประกันแล้วรบกวนการสอนของผม แบบนั้นคงจะดูไม่ดีมากกว่าไหม...

     ...ส่วนเรื่องที่ผม เดินสายบ่อยๆ (แหม พูดยังกับเป็นดาราเน๊าะ)
     ในใจลึกๆ ผมกำลังทำในสิ่งที่ ทำลายคำว่า "โรงเรียนวัดยางแขวนอู่อยู่ตรงไหนอะ ไม่เคยรู้จัก" เพราะอย่างน้อยๆ เค้าก็จะได้คุ้นชื่อ ครูแชมป์ วัดยางแขวนอู่ไว้บ้าง

     บางคนอาจมองว่า มันสำคัญด้วยเหรอ กับการที่ทำให้โรงเรียนเป็นที่รู้จัก...

     ...สำคัญสิครับ

     ถ้าโรงเรียนเป็นที่รู้จัก โอกาสที่งบประมาณจะเข้ามาก็มากขึ้น โรงเรียนพัฒนาได้มากขึ้น นักเรียนมีสิ่งดีๆไว้ใช้มากขึ้น

     ผมคิดแบบนี้มาตลอด คิดแบบนี้ทุกวินาทีของลมหายใจ และทุกๆที่ที่ผมรัก ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน หรือที่มหาวิทยาัลัยที่สร้างผมมา

     บางที การเสียสละแล้วโดนด่า แต่ทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นมา ผมก็ยอมครับ

     ...เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังทำขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ !!!!!!


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

15 กันยายน 2555

วันเสาร์นี้ไม่มีอบรม

   วันเสาร์นี้ แสนดีใจ

   เพราะไม่มีอบรม มีเวลากวาดบ้านถูบ้านบ้างหละ เสาร์นี้ 555+

   จริงๆแล้ว ก็ยังต้องทำงานแหละครับ ตามวิถีของครูไทย ครูบ้านนอกครับ

   ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

14 กันยายน 2555

อีกบทบาทหนึ่ง กับการเป็นอาจารย์พิเศษครั้งแรก

   ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 และผู้อำนวยการโรงเรียนวัดยางแขวนอู่ ได้มอบหมายให้ครูพิริยะ  ตระกูลสว่าง ไปให้บริการทางวิชาการ ตามหนังสือที่ ศธ ๐๕๓๘.๐๕ / ๙๐๒ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม เป็นอาจารย์พิเศษร่วมสอนในรายวิชา IS363 การจัดการข้อมูลสารสนเทศ กลุ่มสาขาวิชาบรรณรักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี ในวันที่ 14 กันยายน 2555 เวลา 12.30 - 16.30 น.

   เป็นธรรมดาที่จะต้องมีความรู้สึกตื่นเต้นบ้าง แต่พอรู้ว่าน้องๆนักศึกษากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เคยอบรมเมื่อครั้งก่อน อีกทั้งยังขยัน และนิสัยน่ารักทุกคน เลยสบายใจหน่อย

หนังสือเชิญ








 
   ต้องขอบพระคุณอาจารย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปราณี ซื่ออุทิศกุล และขอบคุณน้องๆ ที่น่ารักทุกคนนะครับ ที่ี่ร่วมมือร่วมใจกัน พบกันอีกครั้ง วันศุกร์หน้านะครับ วันศุกร์หน้าสอบ เก็บคะแนน 20 คะแนน นะครับ


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................

วิทยากรโครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษา One Tablet per Child รุ่น 2

   วันนี้ ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรการใช้งาน Tablet ตามโครงการ OTPC (ซึ่งตามที่เรียนไปแล้วว่า ไม่รู้ตัวเลยว่ามีความสามารถด้านนี้ ฮาาาา)

   ในการนี้ ขอขึ้นพูดเป็นคิวแรก ก็ถูกพี่พิพัฒน์  ปิ่นจินดา เย้าเล่นว่า "แบบนี้พี่ก็เสียเปรียบสิ จืดหมด" จะว่าไป ก็อยากพูดคู่กับพี่พิพัฒน์บ้าง เพราะอยากรู้ว่า เมื่อนักวิชาการอย่างพี่พิพัฒน์ กับครูบ้านนอกไร้สาระแบบผมมาเจอกัน จะเป็นเยี่ยงไร

ทำความรู้จักแก้เขิน

มีฮาเล็กน้อยจากผู้เข้ารับการอบรม

บุก ถึงที่





คือ... แบบว่า ... มันเครียดขนาดนั้นเลยเหรอครับ


แหม.....



ประชาสัมพันธ์ คนสวย

น้องชายผม มาไม่ทันฟังผมพูดเลยครั้งนี้
    ก็ต้องกล่าวขอบพระคุณทุกๆท่าน ทั้งผู้ดำเนินงาน ทั้งคุณครูผู้เข้ารับการอบรม ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มครูโรงเรียนเอกชน โรงเรียนเทศบาล ครับ ที่มุ่งมั่นตั้งใจครับ

   อย่าลืม เข้าไปแรกเปลี่ยนเรียนรู้กันที่ www.kruchamp.com/teblet นะครับ


ให้กำลังใจครูบ้านนอกด้วยนะจ๊ะ ... ขอบคุณจ้า




...............................
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ