08 กุมภาพันธ์ 2554

ค่าของคน

ค่าของคน
《圆满报身》

ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง เฝ้าพร่ำถามอาจารย์เซนทุกวันว่า “สิ่งใดคือคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา?”

วันหนึ่ง อาจารย์เซนเดินออกมาจากห้องพร้อมกับก้อนหินหนึ่งก้อน จากนั้นเอ่ยกับศิษย์เจ้าปัญหาว่า “เจ้าจงเอาก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังท้องตลาด แต่ไม่จำเป็นต้องขายออกไปจริงๆ เพียงแค่ทำให้มีผู้มาเสนอราคาขอซื้อก็เพียงพอแล้ว ลองดูสิว่าตลาดจะให้ราคาของก้อนหินก้อนนี้เท่าไหร่”

ศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายยังท้องตลาด มีคนเห็นว่าหินก้อนนี้ทั้งใหญ่และเรียบสวย จึงให้ราคา 2 ตำลึง อีกผู้หนึ่งเห็นว่าหินก้อนนี้น่าจะนำไปทำเป็นลูกกลิ้งหรือลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักได้อย่างดี จึงให้ราคาถึง 10 ตำลึง หลังจากนั้น แม้ว่าจะมีผู้แวะเวียนเข้ามาชมดูก้อนหินมากมาย แต่ราคาที่สูงสุดที่ได้จากท้องตลาดคือ 10 ตำลึง

เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินกลับมายังวัด ก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ตนเร่ขายก้อนหินธรรมดาๆ จนได้ราคาถึง 10 ตำลึงให้อาจารย์ฟังด้วยความยินดียิ่ง

เมื่อฟังจบ อาจารย์เซนเพียงแต่กล่าวว่า “เจ้าจงนำหินก้อนนี้ไปเร่ขายอีกครั้ง ยังตลาดค้าทอง”

ศิษย์เซนจึงเดินทางไปยังตลาดค้าทอง จากนั้นนำก้อนหินออกมาเร่ขาย คราวนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีผู้เสนอราคาก้อนหินถึง 1 พันตำลึง จากนั้นราคาก็ขึ้นมาเป็น 1 หมื่นตำลึง และสุดท้ายจบลงที่ราคา สิบหมื่นตำลึง

เมื่อศิษย์เซนเห็นผลลัพธ์เกินความคาดหมายถึงเพียงนั้น จึงรีบกลับมารายงานอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนเพียงกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังตลาดค้าเพชรพลอย ซึ่งเป็นตลาดระดับสูงที่สุดดู”

เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายตามคำสั่งของอาจารย์ พบว่าราคาของก้อนหินขึ้นพรวดพราดไปเรื่อยๆ จากสิบหมื่นตำลึง ยี่สิบหมื่นตำลึง สามสิบหมื่นตำลึง จนกระทั่งมีผู้เข้าใจว่าที่ศิษย์เซนยังไม่ยอมตกลงใจขายก้อนหินเป็นเพราะยังไม่ได้ราคาเหมาะสม จึงเสนอให้ตั้งราคาขึ้นมาเองตามใจชอบอย่างไม่อั้นได้เลยว่าจะขายที่ราคาเท่าไหร่ ศิษย์เซนได้แต่อธิบายต่อผู้คนที่สนใจซื้อก้อนหินว่าตนทำตามคำสั่งอาจารย์ มิอาจขายก้อนหินออกไปจริงๆ ได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับวัด พร้อมทั้งบอกอาจารย์เซนว่า "ตอนนี้ราคาของก้อนหินพุ่งขึ้นไปถึงหลักสิบหมื่นตำลึงแล้ว”

เมื่ออาจารย์เซนฟังจบ จึงกล่าวว่า “นั่นก็ใช่แล้ว ที่ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ว่าชีวิตมีคุณค่าเพียงใด ก็เพราะนั่นจะเป็นการตีราคาชีวิตของเจ้าโดยผ่านมุมมองภายนอกไม่ต่างจากการตีราคาก้อนหิน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วคุณค่าของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องกระจ่างอยู่ภายในจิตใจของคนผู้นั้นเอง จงมีสายตาแหลมคมดั่งนักค้าเพชรพลอยเสียก่อน จึงจะสามารถเห็นซึ้งถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา”

ปัญญาเซน : มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง จงตระหนักในคุณค่าแห่งตน ยอมรับตนเอง ฝึกฝนตนเอง ให้ช่องว่างกับตัวเองได้เติบโต ทุกคนล้วนสามารถกลายเป็นสิ่งมีค่าอันประเมินมิได้ ทุกขวากหนาม ทุกความเจ็บปวด ทุกความพ่ายแพ้ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างยิ่งต่อชีวิตของคนเรา

ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

07 กุมภาพันธ์ 2554

วันแห่งความภาคภูมิใจ

วันนี้มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตรให้กับมหาวิทยาลับแห่งหนึ่ง ในจ.พิษณุโลก
หลายท่านเป็นดุษฏีบัณฑิต มหาบัณฑิต และบัณฑิตอย่างเต็มตัว

หลายปีในระบบการศึกษา ได้บ่มเพาะหลายๆอย่าง

ผมเคยได้รับการสั่งสอนจาก อ.สมศรี จินตนสนธิ ว่า การลอกข้อสอบ การทุจริต ไม่ใช่การโกหกครูผู้สอนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการโกหกต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันรับปริญญา

เสียงนั้นยังดังก้องหูผมตลอดเวลา ท่านไม่ได้ว่าใครโดยตรง แต่ท่านกำลังสอนในศีลธรรม เรื่องความซื่อสัตย์ และการให้เกียรติตัวเอง (ท่านพูดในช่วงที่มหาวิทยาลัยของผม กำลังมีกำหนดการรับพระราชทานปริญญาบัตร ถ้าจำไม่ผิด น่าจะประมาณปี 2550)

ที่สำคัญ

ในวันรับปริญญา

คนที่หน้าบาน หน้าใหญ่มากที่สุด คือพ่อแม่ของบัณฑิต มหาบัณฑิตทั้งหลาย.... ไม่เชื่อ ลองไปขยายรูปดูสิครับ

(เสียดายที่บางคนอายเพื่อน ที่มีพ่อแม่จน มีพ่อแม่เป็นชาวนา ไม่ถ่ายรูปกับพ่อแม่ ไม่อยากให้พ่อแม่มางานรับปริญญา คนแบบนี้ไม่สมควรที่จะเรียกตัวเองว่า...ปัญญาชน)

06 กุมภาพันธ์ 2554

@อาลัย ทองใบ ทองเปาด์@ โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

@อาลัย ทองใบ ทองเปาด์@ โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

@ รายทางประชาธิปไตย
มีดอกไม้มีหลุมศพ
จารึกอันเลือนลบ
กับคืนวันกาลเวลา

@ โหดระห่ำกระหน่ำกรู
ก็หาญสู้พายุกล้า
คราบเลือดและน้ำตา
ยังทาบทาที่ขอบธง

@ ทองใบ ทองเปาด์ ยัง
ยืนอยู่อย่างผู้ทระนง
ผู้สู้ผู้สืบทรง
บริสุทธิ์และยุติธรรม

@ ปากเสียงของคนยาก
และปากกาอันคงคำ
ให้จดและให้จำ
เป็นตำนานแห่งยุคสมัย

@ เป็นหนึ่งในรายทาง
ประชาธิปไตยไทย
จารึกผนึกใจ
นาม "ทองใบ ทองเปาด์" นิรันดร์ฯ


เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
พฤ.๒๗/๑/๕๔

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

ขอบพระคุณ อ.เนารัตน์ครับ ที่เขียนกลอนเตือนสติคนไทยหลายต่อหลายครั้ง

05 กุมภาพันธ์ 2554

วันนี้ผมมีความสุขมาก

วันนี้ผมมีความสุขมาก
เป็นความสุขที่แปลก
เป็นความสุขที่เกิดจากเพื่อนคนหนึ่ง

ผมจะขยันเรียนรู้เรื่องต่างๆให้มากขึ้นครับ

04 กุมภาพันธ์ 2554

วันแห่งความเหนื่อย

ทำไมวันนี้รู้สึกเหนื่อยจัง
ยิ่งตอนเช้า รู้สึกเพลียมาก

ร่างกายก็แย่ มีแต่ใจที่ต้องสู้ๆ

สู้ๆ นักสู้พันธุ์ข้าวสวย + ข้าวเหนียว + ข้าวหลาม + ข้าวก้นบาตร

ป๊าดดดโธ่...

03 กุมภาพันธ์ 2554

กิจกรรมการวางแผนแก้ปัญหา

วันนี้กิจกรรมลูกเสือ ได้ไห้เด็กเล่นเกมส์ที่คิดขึ้นมา
คล้ายๆกับเล่นหัวใบ้ ท้ายบอด แต่ให้หันหลัง รอบแรกไม่ให้หลับตา รอบที่สองให้หลับตา โยเดินถอยให้ ให้เพียงคนหลังสุดค่อยหาวิธีส่งสัญญานให้ไปทางซ้าย หรือขวา แต่ห้ามพูด

มีการล้มกลิ้ง มีแผลบ้าง แต่ก็ต้องให้เด็กเรียนรูการวางแผน
การหาข่าว
การวิเคราะห์ข่าว แล้วนำมาหาทางเป็นไปได้

บางกลุ่มก็ใช้กลยุทธ์ หาวิธี(โกง) ให้ตนเองรอดพ้นจากการลงโทษสุดมันส์

เราสามารถหาเกมง่ายๆ ให้นักเรียนเล่น โดยส่งเสริมการคิด ยิ่งคุณครูที่เคยเรียน นศท. มา ถ้าสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาประยุกต์สอนเด็กได้ เด็กจะได้ทั้งวิธีคิด ประสบการณ์ และความรักชาติครับ

02 กุมภาพันธ์ 2554

เสร็จสักที โปรเจคเตอร์ใหม่

ในที่สุด ก็ได้โปรเจคเตอร์ใหม่สักที หลังจากรอคอยมานาน

วันนี้ช่างติดตั้งให้เสร็จแล้ว

ลองทดสอบ ได้ระยะพอดี

พรุ่งนี้ ลองให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ชุดใหม่ ชุดเครื่องเสียง mini และกระดาน IP Board เนาะ

01 กุมภาพันธ์ 2554

ฝันดีตอนรุ่งสาง มงคลแห่งชีวิตจริงๆ

วันนี้ฝันดี
รู้สึกตัวตื่นแล้วมาครั้งหนึ่ง แต่อากาสที่หนาวเย็น เหมือนขับกล่อมให้ซุกตัวใต้ผ้าห่มอีก

ผมก็ฝันว่า ได้เข้าไปที่หอประชุมแห่งหนึ่ง มีนักศึกษาเต็มไปหมด
มีคนมาทักผมว่า มาทำไม ผมบอกว่า ผมเรียนจบ ปวค. ห้อง 5/3 (เลยเข้าใจว่า น่าจะเป็นการซ้อมรับปริญญา หรืออาจจะรับจริง)

แล้วองค์ประธานก็เสด็จมา
บนเวทีนั้น คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในหลวงทรงเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตร....

ในฝัน ผมไม่เห็นตัวเองรับปริญญาบัตร แต่ผมได้รับมอบหนังสือเล่มหนึ่งมีความหนาพอสมควร และที่หน้าปก มีเมล็ดข้าวหลายเม็ด ถูกปิดด้วยพลาสเตอร์ใส (เต็มหน้าปก) ท่านทรงตรัสว่า "มีคนทูลเกล้าฯถวายเรา เรามอบให้เจ้า" ในฝัน ผมดีใจมาก พอลงเวทีมา เพื่อนๆก็ขอแบ่ง ผมหยิบให้เขาคนละนิด คนละหน่อย แต่ไม่หมดสักที

แล้วแต่ละคนค่อยๆออกจากหอประชุม ซึ่งในหลวงท่านยังทรงประทับอยู่ และทรงดนตรีเพียงลำพัง ผมจำได้ เสียงเปียนโนที่พระองค์ทรงดนตรี ฟังแล้วรู้สึกร่าเริง

แล้วผมก็เดินขึ้นไป ตอนนั้นเปลี่ยนชุดเป็นชุดปกติขาวตอนไหนก็ไม่รู้ ผมค่อยๆคลานเข้าไปหาพระองค์ท่าน ท่านทรงหยุดเล่น แล้วตรัสว่า มีอะไร

ผมเงยหน้า กราบทูลว่า ผมอยากกราบแทบพระบาทของพระองค์ท่าน อยากสักครั้งในชีวิต ผมไม่อยากรอให้มีตำแหน่งใหญ่โตแล้วจึงมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ

ในหลวงท่านทรงลูบหัวผม แล้วตรัสว่า
"อะไรที่ทำก็ดีแล้ว ให้เสียสละเพื่อคนอื่น เพื่อเด็กต่อไป เดี๋ยวผลดีก็จะกลับมาหาเราเอง"

ตอนนั้นในฝัน ผมเกิดปิติ น้ำตาไหล ดีใจมากๆ
แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา รู้สึกน้ำตาไหลจริง

ผมถือว่า ความฝันครั้งนี้ เป็นมหามงคลสำหรับตัวผม

แล้ววันหนึ่ง ผมต้องกราบแทบพระบาทของในหลวงให้ได้ ผมจะเป็นข้าราชการที่ดี และทำเพื่อคนอื่ นทำเพื่อเด็ก ดั่งคำสอนของท่านครับ
ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ