ประวัติครูแชมป์ (ฉบับสบายๆ)

...มารู้จักกันดีกว่า


   ผมได้มีโอกาสออกมาสวัสดีโลก เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2525 ขึ้น 3 ค่ำ เดือนแปด ปีจอ ซึ่งขณะแรกเกิดมีน้ำหนักเพียงกิโลกว่าๆ (ปัจจุบันคงไม่มีใครเชื่อแล้วมั่ง) ผู้ให้ชีวิตของผมเป็นครูบ้านนอกสองคน ท่านอดทนเลี้ยงดูผมด้วยความยากลำบาก สมัยนั้น เงินเดือนครูก็เพียงพันสี่ร้อยกว่าบาทเท่านั้นเอง 

   ด้วยความที่ท่านกลัวว่า ผมอาจจะเหงา เลยส่งน้องสาวคู่แค้นออกมาอีก 1 คน และมีชื่อที่ค่อนข้างแปลก น้องของผมชื่อ "ซิ่ง" มารู้ตอนหลังว่า ที่ชื่อซิ่งเพราะ ตอนที่ท้องไม่รู้เป็นอะไร แม่ชอบขี่มอเตอร์ไซต์ซิ่งๆ ทุกวัน 

   ... อ้าว ผมลืมบอกไป ผมชื่อครูแชมป์ครับ ชื่อจริงตามบัตรประจำตัวประชาชนคือ พิริยะ  ตระกูลสว่าง เป็นพี่ชายคนโต ของครอบครัวครูบ้านนอก ผมยังจำไ้ด้ว่า กว่าที่พ่อกับแม่จะมีรถยนต์ขับ ผมก็ปาไปเกือบจะ ป. 6 แล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลของคำถามว่า ทำไมทุกวันนี้ ผมยังต้องขี่มอเตอร์ไซต์ไปโรงเรียน

   เวลาผ่านไปไม่นาน แม่ก็มีน้องชายตัวแสบให้อีกคนหนึ่ง รายนี้ต้องขอบคุณแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ที่มอบจุดเล็กๆของโอกาสของเขา นานๆไป ผมก็ชัดจะอิจฉาไอ้น้องคนนี้ เพราะใครๆก็ห้อมล้อมรุมรักไปหมด น่าตื๊บจริงๆ

   ด้วยความที่เป็นคนค่อนข้างออกไปทางรักชาติแบบรุนแรงไปหน่อย ช่วงชีวิตมัธยมปลาย ผมจึงได้ร่วมมือจัดตั้งกลุ่มกับเพื่อนๆ น้องๆขึ้นมา กว่าจะจัดตั้งเป็นชมรมได้ ก็ถูกผู้หลักผู้ใหญ่ไม่อนุญาตตั้งหลายครั้ง จนกระทั้งผู้ใหญ่คนนั้นเกษียณอายุราชการไป ชมรมของพวกเราจึงได้ก่อนตั้งขึ้นมา จากกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "นวชน" ก้าวสู่ชมรมเยาชนพัฒนาประชาธิปไตย ซึ่งจุดหมายหลักๆคือการปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้อง และสังคม

   ในปี 2541 ผมได้รับอุบัติเหตุ (ทุกวันนี้ก็อยากรู้เหมือนกันว่า ใครส่งมา...)
   ผมขี่มอเตอร์ไซต์ไปส่งเจ้าเก่งที่หน้าสำนักงานป่าไม้ แต่พอถึงตรงวิทยาลัยอาชีวะ รถยันต์คนหนังกลับรถ (ทั้งๆที่มีป้ายห้ามกลับรถอยู่) ผมเหยียบเบรคเท้าพร้อมกับบีบเบรคมือ ทำให้ล้อหลังปัด หน้าไปฟาดกับตัวหุ้มกระบะ (สมัยนั้นเพิ่งออกมาใหม่ๆเลย แม๊คลายเนอร์ เนี่ย) เลือดไหลออกจากแก้ม ข้างขวา (ทุกวันนี้แผลก็ยังอยู่ครับ) เพื่อนของเจ้าเก่งที่อยู่เทคนิค เห็นเหตุการณ์ เลยพาไปโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ หมอตรวจร่างกายแล้วบอกว่าำไม่เป็นอะไรมาก เป็นแผลที่หน้าเล็กน้อย แล้วให้ยาแก้ปวด แต่ก็กำชับว่า ถ้าคืนนี้มีอาการอาเจียน ให้มาหาหมอ 

   คราวนี้แหละ ไม่มีตังส์จ่ายค่ายา เพราะปกติ ผมนำเงินไปโรงเรียนวันละ 25 บาท ซื้อข้าว 10 บาท ที่เหลือก็เฉลี่ยเป็นค่าน้ำมัน และซื้ออุปกรณ์อื่นๆ โชคดีที่ได้เพื่อนของเจ้าเก่งที่อยู่เทคนิค ออกเงินให้ก่อน

   หลังจากที่พยาบาล มาขอเบอร์ติดต่อทางบ้าน ผมก็ให้เบอร์บ้านไป (สมัยนั้นไม่มีมือถือกันนะครับ) เหตุการณ์ครั้งนี้แหละ ที่ทำให้ผมรู้ว่า คนที่รักเรามากที่สุดก็คือแม่
   
   แม่ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ แล้วรีบวิ่งลงมาโดยที่ยังไม่ได้ใส่รองเท้า ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า แม่ไม่ได้ใส่รองเท้ามาจากบ้าน 

   แม่บอกว่า ตอนเห็นผมนั่งอยู่บนรถเข็นคนไข้ แม่แทบจะลมจับ (เพราะท่านคิดว่า ผมได้รับบาดเจ็บรุนแรง) แต่พอรู้ว่าไม่เป็นอะไรมาก ก็โล่งใจ ดังนั้น หากคุณจะทำอะไรก็ตาม ขอให้นึกถึงแม่ก่อนนะครับ เพราะถ้าเราเป็นอะไรไป คนที่เสียใจคนแรก และเสียใจมากที่สุด ก็คือพ่อกับแม่ของเรา ... ที่สำคัญ รีบกอดท่าน กราบเท่าท่าน ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำนะครับ ผมไม่อายหรอก ที่บางครั้ง ผมก็หอมแก้มแม่ที่บิ๊กซี โลตัส เวลาแม่มาเยี่ยมที่พิษณุโลก เพราะผมก็ไม่รู้ว่า เวลาของผมกับแม่ จะเหลือสักเท่าไร เพราะ... แม่ของผม ท่านเป็นมะเร็ง

   ชีวิตช่วง ม.ปลาย เป็นอะไรที่ตื่นเต้น สนุก และฝึกฝนผมเป็นอย่างมาก เพราะช่วงที่เกิดอุบัติเหตุ ผมก็ไม่ได้ไปเรียนพิเศษ จึงเอาเวลาว่างมาเขียนเรื่องสั้นส่งเข้าประกวด งานรำลึก 25 ปี 14 ตุลา ผมนั่งจิ้มพิมพ์ดีด แล้วส่งไปยังคณะกรรมการการประกวดของภาคเหนือ ผลปรากฎว่า ได้ที่หนึ่งของภาคเหนือ (คุณมาลา  คำจันทร์ เป็นกรรมการ) และได้รับรางวัลชมเชย นะดับประเทศ (มีเฉพาะรางวัลชมเชย) สุดยอดเลยครับ ชีวิตในช่วงนั้น เพราะมันสร้างกระแสความรักชาติ ปลุกอุดมการณ์ของผมขึ้นมาเป็นอย่างมาก (ไม่ขอเล่าวีรกรรมบางอย่างนะครับ เดี๋ยวยาว)


   พอเข้าสู่ช่วงที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่แม่ไปรักษาตัวที่เชียงใหม่โดยพ่อกับน้องคนเล็กไปอยู่ที่นั่นด้วย ผมอยู่บ้านกับน้องคนรองเพียงลำพัง แม่ส่งเงินมาให้ใช้จ่ายผ่านธนาคาร มันเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวมาก กลัวว่าแม่จะไม่อยู่กับเรา มันรู้สึกเครียดอย่างบอกไม่ถูก

   ช่วงที่ยืนเลือกคณะ ผมไปยื่นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยคณะที่เลือกที่สุดแสนจะบรรเจิด เป็นอันดับต้นๆของประเทศ (รัฐศาสตร์ กับ นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์) เพราะผมบอกกับตัวเองเสมอว่า ต้องเรียนที่นี่ให้ได้ แม้ความหวังจะริบหรี่ก็ตาม พอยืนเสร็จ ผมก็ไปอยู่วัด บวชเณร(โข่ง) ที่วัดแพร่ธรรมาราม โดยมีพระอาจารย์น้อม นามกาโร เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ คอยดูแล 

   การบวชครั้งนี้ เป็นการบวชเพื่อขอชีวิตให้แม่ แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ... ลูกวัดป่า

   ผมถือว่้าโชคดีมากๆ ที่ได้บวชที่นี่ แม้เป็นระยะเวลาสั้นๆก็ตาม พอใกล้ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยออก ผมก็ลาสิกขาออกมาเพื่อมารับทราบว่า ... สอบไม่ติด

   ถามว่าในตอนนั้นเสียใจไหม เสียใจนะ เสียใจมากๆ ที่ไม่ได้เรียนคณะในฝัน เรียนมหาวิทยาลัยในฝัน

   แม่คงรู้ว่าผมเสียใจมาก เลยบอกว่า ลองไปหามหาวิทยาลัยที่เปิดภาคค่ำดูสิ ค่าเทอมเท่าไรก็ได้ ผมเลยเดินทางมายังพิษณุโลก (มีบ้านญาติอยู่ที่นี่) แต่พอผมเห็นค่าเทอมแล้ว สงสารแม่มาก ค่าเทอมตั้งเกือบสามหมื่น ผมเลยลองมาสมัครที่ "สถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม" โดยเลือกคณะครุศาสตร์ โปรแกรมวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป (ภาค กศ.ป.ป. หรือที่เรียกกับทั่วำปว่า ภาคบ่าย) แต่ก็ขอแม่ว่า ขอเรียนรัฐศาสตร์ รามคำแหงไปด้วยนะ แล้วปีหน้าขอสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่อีกครั้ง แม่ก็อนุญาต

   ด้วยเหตุผลที่ว่า ช่วงเวลาที่ผมบวชให้แม่ เป็นช่วงเวลาที่มหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงสถาบันราชภัฏได้เปิดรับนักศึกษาใหม่ภาคปกติ ผมจึงไม่มีโอกาสเข้ามาสมัครในช่วงดังกล่าว และก็มีหลายๆเหตุการณ์ที่ผม และเพื่อนๆ ภาคบ่าย โดนดูถูกเหยียดหยามมาตลอด

   แค่เรียนราชภัฏ หลายคนภายนอกก็มองด้วยสายตาที่ดูถูกมากพอแล้ว นี่ยังโดนคนในดูถูกว่าเรียนภาคบ่ายอีก (ประมาณว่า โง่สุดสุดของคนโง่) ผมเขียนได้รับรางวัลการประกวดเรียงความวันครูของคณะฯ ในขณะันั้น ผมยืนอ่านบอร์ดประกาศของคณะอยู่ มีบุคคลท่านหนึ่งเดินเข้าไปหากรรมการ แล้วโวยวายว่า "เป็นไปได้อย่างไร ที่เอกวิทย์ เขียนเรียงความชนะเอกภาษาไทย แถมยังเป็นเด็กภาคบ่ายอีก" ผมรู้สึกหน้าชา ไม่น่าเชื่อว่า เค้าจะดูกถูกเราได้ขนาดนี้ ผมพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ เพราะอาจารย์ท่านที่เป็นหนึ่งของคณะกรรมการก็รู้ว่า ผมยืนอยู่ตรงนั้น ท่านไม่ตอบคำถามของคนที่มาถาม แต่เอาเรียงความของผมให้คนนั้นอ่าน ...

   ... เมื่ออ่านจบ บุคคลท่านนั้น ก็วางเรียงความของผมลง แล้วก็เดินจากไป 

   ทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่า ท่านนั้น คืออย่างไร จะยอมรับผล หรือยังไง ผมก็ไม่ทราบ แต่เหตุการณ์วันนั้น ทำให้้ผมรู้สึกว่า "เราจะต้องเอาความแค้นเป็นพลัง"

   ผมเริ่มทำกิจกรรม เริ่มส่งประกวดแข่งขันให้มากขึ้น ทั้งเรื่องสั้น บทความ บทกลอน บทวิเคราัะห์ ทั้งภายในมหาวิทยาลัย ทั้งหน่วยงานต่างๆภายนอก ได้รางวัลบ้าง ตกรอบบ้าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีของผม และก็ทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม คือการเป็นประธานสภานักศึกษา ภาค กศ.ป.ป. จันทร์ - ศุกร์

   ในที่สุด นักศึกษาที่โดยดูถูก ก็สามารถเรียนจบ และมีงานทำในวันที่ 3 ของการจบ (ยังไม่ทันได้รับไปรายงานผลการเรียนเลย) แถมยังทำตั้ง 3 ที่ คือ เป็นครูอัตราจ้างโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ เป็นผู้ดูแลเว็บสำนักศิลปและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม และเป็นผู้ดูแลเว็บสภาทนายความ ภาค 6

   หลังจากจบได้ 8 เดือน ก็สอบบรรจุรับราชการครูได้ที่ สพท. กำแพงเพชร เขต 1

   ... จึงมีโอกาสได้สวมชุดปกติขาว เข้าพิธีพระราชทานปริญญาบัตร 

   จากคนห้องห่วยๆ ที่มีคนดูถูก รู้ไหม คนที่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 คนเดียวของคณะ ก็ห้องผม(เพื่อนของผม) คนที่สวมชุดปกติขาวเข้ารับปริญญา ก็ห้องผม... เด็กภาคบ่ายที่ถูกดูถูกว่า "กระจอก" 

   ลืมเล่าให้ฟังนิดนึงครับ ก่อนหน้านี้ที่ว่าผมจะมาเรียนแค่ปีเดียวแล้วจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่อีกครั้ง ผมต้องบอกว่า "เกลียดอาชีพครู" มากๆ เพราะที่ผ่านมา เราได้เห็นพ่อกับแม่โดนรังแก ถูกเอาเปรียบ งานหนัก และที่สำคัญ แม่ไม่เคยมาร่วมงานวันแม่ของผมเลยสักครั้ง

   แต่ก็ถือว่า สวรรค์เจตนาทำให้ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เพื่อจะได้มาพบแม่ของผมอีกคน แม่กิ่ง "ผศ.สุรีย์  ไวยกุฬา"

   ผมได้เรียนกับแม่สุรีย์ ในรายวิชา ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและสืบค้น (ปี 1 เทอม 1) ผมลองเอางานเขียนของผมสมัย ม.ปลายให้ท่านวิจารย์ แล้วท่านก็เรียกผมเข้าไปคุยด้วย เราคุยกันหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องที่จะไม่เป็นครูด้วย แต่ท่านก็ได้บอกว่า

   "พิริยะ รู้ไหม อาชีพครู เป็นอาชีพที่มีโอกาสโกงได้น้อยที่สุด ดูอย่าง.... สิ เค้ามีตู้ใครตู้มัน" ประโยคนี้เริ่มทำให้ผมคิดได้

   "ที่สำคัญ คนเป็นครู มีโอกาสได้สร้างบุญทุกวัน" โหยยย เปลี่ยนเลย... ผมเปลี่ยนใจทันที จากคนที่คิดว่า ครูเป็นอาชีพสุดท้ายที่จะเลือกทำ กลับเป็น ครูเป็นอาชีพเดียวที่จะทำ เพื่อได้รับใช้ในหลวง 

   ผมต้องกราบขอบพระคุณท่าน และจะขอเชิดชูท่าน ให้สมกับครูผู้สร้างคน เพราะถ้าไม่มีท่านวันนี้ ผมก็ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว เราเิกิดมาเพื่อทำสิ่งใด 

   ต้องขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่ให้โอกาสผมได้เรียน ได้ศึกษา ทั้งระดับปริญญาตรี และปริญญาโท ที่สำคัญ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ ท่านได้ให้ทั้งความรู้ ทั้งการปฏิบัติ และคอยสอนในทุกๆสิ่ง คนที่มาเรียนราชภัฏขอให้ระลึกไว้นะครับว่า คุณ โชคดีมาก โชคดีจริงๆที่ได้มีโอกาสได้เรียนกับครูบาอาจารย์ที่แท้จริง บางครั้ง เราก็สามารถขอคำแนะนำจากท่านได้ โดยที่เราไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า แม้แต่พอที่ตลาด หรือเจอที่โรงจอดรถ ท่านก็พร้อมให้คำแนะนำตลอดเวลา

   ทุกวันนี้ บางครั้งช่วงพักกลางวัน เด็กๆ ก็จะเข้ามาพูดคุย มานั่งเล่นในห้อง ผมก็ไม่เคยให้เค้าออกไปแม้จะเป็นช่วงพัก เพราะว่าเค้าไว้ใจเรา เค้าถึงมาถามเรา อย่าทำตัวอยู่บนหอคอยงาช้าง เพราะเมื่อเด็กเอื้อมไม่ถึงเรา เวลาเกิดปัญญา เราเองต่างหาก ที่จะยื่นมือไปคว้าเด็กไว้ไม่ทัน

   เรื่องราวชีวิตของผมมันยังไม่จบ ยังเล่าไม่หมด เอาเป็นว่า ถ้าอยากรู้จักกันมาขึ้นกว่านี้ ก็มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ...


ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ