29 กรกฎาคม 2554

เมื่อครูท้อแท้..


ขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อเป็นข้อคิดในการทำงา

     ครั้งหนึ่งองคมนตรีสุเมธกำลังทำงานอยู่ในสภาพที่จิตใจย่ำแย่มาก ไม่มีกำลังใจทำอะไร ท้อแท้กับงานมาก ไม่มีใครเข้าใจ เหมือนทำดีแต่ไม่ดี ในหลวงท่านทรงเสด็จมาพอดีและท่านได้เห็นสีหน้าไม่สู้จะดี ท่านได้สอบถามจนได้ความ พระองค์ท่านจึงตั้งคำถาม และ รับสั่งว่า

     "ท่านสุเมธเคยขายเศษเหล็กไหม เศษเหล็กเหล่านั้น เวลาขายคุณค่ามันต่ำมาก คงได้เงินไม่กี่บาท แล้วถ้าเราเอาเศษเหล็กเหล่านั้นมาหลอมรวมกันเป็นแท่ง เวลาหลอมนี่เหล็กมันคงร้อนมาก พอหลอมเสร็จเรานำมาทำเป็นดาบ คงต้องนำมาตีให้แบนอีก เวลาตีต้องเอาไปเผาด้วย ตีไปเผาไป อยู่หลายรอบกว่าจะเป็นรูปดาบอย่างที่เราต้องการ ต้องผ่านความเจ็บปวด ความร้อนอยู่นาน แถมเมื่อเสร็จแล้ว ถ้าจะให้สวยงามดังใจ ก็ต้องนำไปแกะสลักลวดลาย ก็ต้องใช้ของมีคมมาตีให้เป็นลวดลายอีก แต่เมื่อเสร็จเป็นดาบที่งดงาม ก็จะมีคุณค่าที่สูงมาก เทียบกับเศษเหล็กคงจะต่างกันลิบลับ จะเห็นได้ว่ากว่าที่เศษเหล็กมีคุณค่าไม่มากนัก จะกลายเป็นดาบที่งดงามนั้น ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทั้งความเจ็บปวดต่างๆกว่าจะประสบความสำเร็จ"

     ดังนั้น ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า “ใครไม่เคยถูกตี ถูกทุบ เจอเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาเลยนั้น จงอย่าได้หาญคิดทำการใหญ่”

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

........................................................................................................

     ผมจำได้ว่า ครั้งแรกที่ได้เห็นข้อความนี้ น่าจะเป็นไฟล์ power point ข้อความเดียวกันทั้งหมด แต่รูปภาพประกอบเป็นรูปภาพที่เราหลายคนอาจจะเคยเห็นบ่อยครั้งแล้ว ภาพของพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงงานหนักตลอด ภาพที่พระองค์มีพระเสโทตรงบริเวณจมูก ทำให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่างผม ลุกขึ้นสู้ขึ้นมาบ้าง

     หลายครั้งที่การทำงานของเรามักจะถูกกระทบ ถูกตี ถูกกระทำต่างๆนานา ทั้งนี้เพราะ เราอยู่ในสังคม อยู่ในระบบนิเวศที่พยายามรักษาความสมดุล และผู้แข็งแกร่ง ย่อมมีโอกาสอยู่รอดเสมอ

     ...และการอยู่ในสังคม เป็นธรรมดาที่ต้องถูกติติง ถูกว่ากล่าว ถูกชมเชย ยกย่อง และติฉินนินทาเป็นธรรมดา

     ซึ่งบ่อยครั้ง บทกวีที่ว่า "จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน" อาจจะถูกมองว่า จริงแท้แน่นอน แต่คุณครูท่านหนึ่งที่เคยสอนผมตอนมัธยมปลาย ท่านสอนว่า "คนที่ไม่มีอะไรเด่น คือคนที่ไม่ทำอะไร และเป็นไปไม่ได้ ที่การทำความดี จะไม่เด่้นขึ้นมา" ดูอย่างเด็กนักเรียนเก็บเงินได้ แต่วินตอเตอร์ไซต์กลับบอกเด็กว่า ไม่ต้องเอาไปแจ้งตำรวจ เอาเงินมาแบ่งกันดีกว่า ซึ่งเด็กหญิงก็ไม่ยอม เพราะเขามีภูมิหลังที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น ได้รับการอบรมมาดี เธอจึงบอกว่า "ไม่ได้ ครูสอนว่า อะไรไม่ใช่ของเรา ก็ไม่ควรนำมาเป็นของตน" ข่าวนี้โ่ด่งเพียง 3 วัน (3 วันจริงๆ เพราะหลังจากนั้น ก็เป็นข่าวของนักร้องดังที่ถูกกล่าวหาว่าไปทำดาราสาวท้่อง เรื่องของเด็กหญิงคนนี้ก็เงียบไป... จำไม่ได้แม้กระทั้งชื่อ หรือจังหวัดที่เกิดเรื่อง)

     เมื่อเราสังเกตดูเนื้อข่าวตามสื่อต่างๆ เราจะพบเรื่องดีๆเพียง 1 - 2 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือก็จะเป็นเรื่องที่อ่านแล้ว ดูแล้ว ไม่ค่อยสบายใจ ฉกชิงวิ่งราว ปล้น ฆ่า ข่มขืน และอีกมากมายสารพัด หรือว่าสังคมของเรามีความสุขกับการได้รู้ได้เห็นเรื่องของความเดือนร้อนของคนอื่น สนุกกับการพูดต่อ บอกเล่าเรื่องราวของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง หรือคนรู้จัก

     ...หรือจะรอให้เกิดเรื่องนั้นกับตนเอง จึงจะเข้าใจความรู้สึกของบุคคลและคนรอบข้างที่ถูกกระทำในข่าว

     ผมโชคดี ที่มีครูบาอาจารย์ที่ดี คอยอบรมสั่งสอน ตักเตือน ดุด่า ลงโทษ ซึ่งการกระทำของท่านทั้งหลายได้หล่อหลอมให้ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ แต่ครูบาอาจารย์ของผมมีหลายสาขา หลายประเภท ทั้งเป็นมนุษย์ และเอกสารตำรา (ปัจจุบันอาจหมายรวมถือสื่อต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต CD ต่างๆ เป็นต้น) หลายท่านยังเมตตาตลอดมา แม้ได้เรียนกับท่านเพียงภาคเรียนเดียว แต่ท่านยังรักผมเหมือนลูก มีของดีมามอบให้ตลอด คอยตักเตือน ชี้แนะ (เมื่อตอนเรียนปริญญาตรี ผมเคยจะร้องเรียนมหาวิทยาลัย ที่ไม่เปิดรายวิชาเลือกเสรีให้กับนักศึกษา ในกรณีที่มีการลงชื่อสมัครไม่ถึง 25 คน จำได้ว่า เคยเขียนร้องเรียนโดยใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง ลงในวารสาร สานปฏิรูปด้วย ... ทำไปได้ ) ถ้าไม่มีท่านในวันนั้น ผมอาจทำลายมหาวิทยาลัยอันเป็นที่รักของผมไปแล้ว 

หลังจากนั้น ผมได้สมัครเป็นประธานสภานักศึกษา คอยตรวจสอบการทำงานขององค์การนักศึกษา และประสานงานกับทางมหาวิทยาลัย ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆกับพี่น้องนักศึกษา เช่น มีคนโรคจิตเข้ามาลวนลามนักศึกษาหญิงที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์ การไม่ได้รับเงินค่าหน่วยกิตคืน ในกรณีไม่เปิดสอนในรายวิชานั้นๆ การกระทำที่ไม่เหมาะสมของยามรักษาการณ์(บริษัทรับจ้าง) และอีกหลายๆเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเป็นหนังหน้าไฟ ไม่ใช่เรื่องอะไรของเราโดยตรง แถมยังโดนหลายคนมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจ (มาทำให้เค้าเดือนร้อน) 

เรื่องดังกล่าวสอดคล้องกับป้ายที่ท่าน ผอ. โรงเรียนเก่าของผมเขียนไว้ ท่านเขียนว่่า "การทำดี มีเพียงคนที่คิดและทำตรงกันข้ามกับเราจะมองว่าไม่ดี" เช่น การที่เราจอดรอไฟสัญญาณจราจรโดยที่ในทางตรงข้ามกันนั้น ไม่มีรถสวนมาเลยสักคน ก็มีเพียงคนที่ชอบแหกกฎ ทำผิดกฎหมายเท่านั้น ที่จะมองว่า เราทำบ้าอะไร

ดังนั้น เมื่อทำความดี ทำสิ่งดีๆ เราอาจจะฟังเพียงคนที่ตำหนื แสดงความเห็น แต่อาจไม่ต้องนำกลับมาคิดด้วยอารมณ์โกรธแค้น หวังจ้องจะทำร้ายทำลายคืนไปบ้าง เพราะบางคน อาจพูดด้วยนิสัยส่วนตัวที่ชอบเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น เห็นคนอื่นทำความดี ทำประโยชน์มากกว่าตนเองไม่ได้ และเมื่อเราเอาจิตไปประหวัดตาม จิตของเราก็ขุ่นหมองไป การทำดีของเราก็เกิดประโยชน์ไม่เต็มที่

ท่านอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า การที่เราทำเพื้อคนอื่น วันหนึ่ง อานิสงส์จะเกิดกับเรา ผมเอาความเกลียดชังของเจ้าหน้าที่บางคน (ที่เค้าถูกผู้บริหารตำหนิจากการไม่แก้ไขความผิดพลาดของตนเอง จนทำให้นักศึกษาเดือนร้อน และผมก็ร้องเรียนกับผู้บริหาร) แลกกับความสำเร็จก้าวแรก เพราะเมื่อเราตั้งใจทำให้คนอื่นๆด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผลบุญจะเกิดกับเรา เรื่องนี้เด่นชัดในด้านของหน้าที่การงาน เพราะสามารถเข้าทำงานที่เตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือได้ หลังจากจบปริญญาตรีได้เพียง 3 วัน โดยที่ไม่ได้ใช้เส้นสายใดๆจากใครเลย และอาจรวมไปถึง การสอบบรรจุข้าราชการได้ตั้งแต่อายุ 23 (จบปริญญาตรีได้ 7 เดือน) ซึ่งผมก็เชื่อมากๆว่า เป็นเพราะผลที่เราทำเพื่อคนอื่น ทำเพื่อสถาบันการศึกษาของเรา

และคนเพราะความที่เรารักสถาบันการศึกษา รักมหาวิทยาลัยของเรา รักเตรียมอุดมฯ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของวิชาชีพ เทวดาทั้งหลาย รวมไปถึงคณาจารย์ พี่ๆ ทั้งราชภัฏพิบูลสงคราม และเตรียมอุดมฯ รวมไปถึงที่อื่นๆ จึงดึงไปช่วยงานบ้าง ผมก็ดีใจมากๆ เพราะถือว่าได้ตอบแทนพระคุณมหาวิทยาัลัย ตอบแทนครูบาอาจารย์ ตอบแทนพี่ๆที่ให้ข้าวให้น้ำกินเมื่อครั้งก่อน ผลพลอยได้คือ ชื่อเสียงและความรู้ทีไ่ด้รับมากขึ้น และการทีไ่ด้มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้ใหญ่มากขึ้น แม้่บางคนที่เคยร่วมงานกัน เค้าอาจจะมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ทางผู้บริหารก็เข้าใจ ให้โอกาส(ซึ่งก็ไม่ได้บ่อยครั้งมากมาย) อาจเป็นเพราะ 1 สัปดาห์มี 30 ชั่วโมง ผมสอนไป 22 ชั่วโมง (ยังไม่รวมกับติวตอนพักเที่ยงทุกวันพุธ และภาระงานอีก 7 อย่าง) และจะเก็บงานทำ คศ. 2 ด้วย ท่านก็เลยเมตตาอย่างสูง แต่ก็ไม่วายที่ผู้ร่วมงานบางท่านที่เราเคารพนับถือ ยังติติงว่าไม่สมควร...

...เมื่อเราท้อแท้จากการทำความดี โปรดนึกถึงคำสอนของพระเจ้าอยู่หัว นึกถึงเหล็กกล้า ที่ต้องถูกไฟ ถูกหล่อหลอม ถูกตี จึงจะกลายมาเป็นสิ่งที่สวยงาม

... เราจำทำความดีเพื่อแผ่นดินของเราต่อไป เพื่อให้สมกับเป็นคนของพระราชา ข้าของแผ่นดินครับ

1 ความคิดเห็น:

aphsara กล่าวว่า...

อ่านแล้วฮึดสู้สุดใจ

แสดงความคิดเห็น

ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ