17 มีนาคม 2553

เราจะไม่ยอมให้วีรบุรุษหายไป เพราะไอ้คนสร้างภาพ

วันนี้เป็นวันที่มีพิธีพระราชทานเพลิงศพของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา
บล๊อกของ "บันทึกครูบ้านนอก" ไม่ได้ตามกระแส
ไม่ได้ต้องการเป็นเว็บข่าว แต่ต้องการบันทึกไว้ว่า แผ่นดินไทยได้สูญเสียวีรชน สูญเสียผู้กล้า ผู้ที่เดินหน้าเข้าป่า ปราบปรามผู้ก่อการร้ายโดยไม่หวังถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ ออกโทรทัศน์เวลาที่มีคดีแม่ขโมยนมกระป๋อง

...ผมไม่ได้ว่าใครทั้งนั้น

ผมเปรียบเปรยว่า ในสังคมนี้ หาคนดีๆได้ยาก แต่ก็ยังมีอยู่

หลายคนเคยบอกว่า ไม่มีนายสิบ (ทหาร) หรือ พลตำรวจ คนไหนก้าวถึง พันเอก พันตำรวจเอก ได้ก่อนเกษียณอายุราชการ (ขนาด ร.ด. ยังมีถึงแค่ ว่าที่พันโท)พูดง่ายๆ เป็นพันโทจนเกษียณ พอเกษียณได้พันเอก

...แต่ท่านสมเพียร กับได้ พันตำรวจเอก ก่อนเกษียณ แสดงให้เห็นถึงผลงานที่เด่นชัด แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ในสายตาของใครๆก็ตาม "ผมว่าคนแบบนี้แหละ สุดยอด" seal2thai ขอนับถือจากใจจริง

ผมได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับหนึ่ง ไม่ทราบที่มาของต้นฉบับ ยังไงผมก็ขอขอบพระคุณ และขออนุญาตต้นฉบับในที่นี้เลยนะครับ


วันศุกร์ ที่ 12 มีนาคม 2553

...ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ !! คำสุดท้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.บันนังสตา...



..." ผมจะไม่ขอตายในชุดนักรบ " พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.บันนังสตา...

... ข่าว....
...วันที่ 12มีนาคม2553 เวลาประมาณ 13.30น.พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.บันนังสตา จ.ยะลา ถูกคนร้ายลอบวางระเบิดขณะเข้าพิสูจน์ทราบความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่ สงบในพื้นที่บ้านทับช้าง ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา เป็นเหตุให้ พ.ต.อ.สมเพียร ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตที่ รพ.ศูนย์ยะลาในเวลาต่อมา ส่วนตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บ 4 นาย.....
.. รายละเอียด คงทราบกันมากกว่านี้แล้วนะครับ.


......" ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และ จะไม่ขอยอมตายในชุดนักรบ " ....
นี่คือบทสัมภาษณ์สุดท้าย (1มีค.ที่ต.บาเจาะ อ.บับนังสตา ) ของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.บันนังสตา ก่อนปิดตำนานมือปราบ " จ่าเพียร " กระดูกเหล็กชายแดนใต้....


...ในวัย 59 ปีของพันตำรวจเอกสมเพียร เอกสมญา ผกก.บังนังสตา จังหวัดยะลา วันนี้เต็มไปด้วยแผลรอบตัว เพราะร่อยรอยจากเหตุระเบิด และถูกยิงกว่า 10 ครั้ง ระหว่างการปะทะกว่า 70 ครั้ง ในช่วง 30 ปีที่ทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหลายครั้งแทบเอาชีวิตไม่รอด แม้ตลอดอายุราชการนายตำรวจผู้นี้จะได้รับรางวัลชื่นชมจากหน่วยงานต่างๆนับ ไม่ถ้วน แต่ดูเหมือนว่าผลงานที่เขาทำร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาและเพื่อนผู้ร่วม อุดมการณ์ซึ่งเป็นกำลังภาคประชาชนกลับดูไร้ค่าในสายตาของผู้บังคับบัญชา แม้แต่การขอย้ายตนเองไปอยู่ที่ สภ.กันตัง จังหวัดตรังก่อนเกษียณอายุราชการในปีนี้ กลับถูกปฎิเสธ ทำให้เขาต้องตัดสินใจ เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆทั้งสิ้นจากบังคับบัญชาระดับสูงจะมีก็เพียง แต่ พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา สบ 10 ที่เคยทำงานคลุกคลีอยู่กับตำรวจในในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าใจและทราบปัญหาดังกล่าว แม้ พล.ต.ท.อดุลย์ จะเคยให้การยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า โผการโยกย้ายล่าสุด พ.ต.อ.สมเพียร จะได้ย้ายออกนอกพื้นที่ เพื่อพักผ่อนในบั้นปลายของอายุราชการ หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ กว่า 40 ปี อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ดั่งที่หวังไว้ ...
... วันนี้เขาได้เดินทางกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่บันนังสตา แม้จะมีความรู้สึกผิดหวังลึกๆจากโผการแต่งตั้งโยกย้าย แต่ด้วยความเป็น ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ชาวบ้านในพื้นที่ฝากความหวังเอาไว้ ทำให้ผู้กำกับสมเพียร ต้องกลับมาสวมบทบาทนายตำรวจมืออาชีพอีกครั้งเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ ประชาชน ทิ้งความเจ็บปวดส่วนตัวไว้เบื้องหลัง ...
...นับตั้งปี 2550 เป็นต้นมาหลังจาก พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เดินทางกลับ มารับตำแหน่งผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงที่กำลังลุกเป็นไฟ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ถูกลอบยิง วางระเบิด ฆ่าตัดคอ ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง นับเป็นงานที่หนักและท้าทายอย่างมาก สำหรับตำรวจนายหนึ่งที่เพิ่งติดยศ " พันตำรวจเอก" ในวัย 57 ปี ตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจที่ถือว่าดูแลพื้นที่สี"แดงเข้มสุดๆ"ในช่วง เวลานั้น จากประสบการณ์ที่เคยทำงานวนเวียนอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มานาน อาศัยความคุ้นเคยกับแกนนำชาวบ้านในพื้นที่ ที่เคยทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตั้งแต่ เขามียศแค่ชั้นประทวน คอยแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของคนร้าย ประกอบกับความร่วมมืออย่างแข็งขันของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เห็นความมุ่งมั่น ตั้งใจจริงในการทำงาน ทำให้ในแต่ละครั้งที่สนธิกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ทำได้อย่างถูกต้องแม่นยำ หลายครั้งที่มีการปะทะเกิดขึ้น ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งสามารถวิสามัญฆาตกรรมกลุ่มแนวร่วมฯได้ถึง22คน เป็นที่น่าสังเกตุว่าไม่มีญาติผู้เสียชีวิตคนใดที่เป็นแนวร่วมฯ ออกมาร้องเรียนว่ายิงผิดตัวแม้แต่รายเดียวเนื่องจาก มีเป้าหมายชัดเจน ทำให้ปัจจุบัน พื้นที่อำเภอบันนังสตา ได้ลดระดับความรุนแรงรายวันลงไปมาก...



..."เป็นเรื่องยากมากหากใครสักคนคิดว่าตัวเองมีอำนาจ มีปืนมีกฏหมายและกำลังรบใต้บังคับบัญชาอยู่ในมือ เข้ามาทำงานในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูงอย่างบันนังสตา ไม่มีทางหรอกที่จะประสบความสำเร็จลงได้ หากไม่อาศัยแนวร่วมภาคประชาชนซึ่งเป็นคนในพื้นที่เข้ามาช่วยเหลือ และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะโน้วเน้าจิตใจ ดึงคนที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับเรา เคยต่อต้านอำนาจรัฐทุกรุปแบบมาเป็นพวก บางครั้งต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว ที่มีมาอย่างยาวนาน ผมอาจจะได้เปรียบคนอื่นในเรื่องของการข่าวและความชำนาญพื้นที่ เพราะอยู่ที่นี่มานาน เมื่อกลับเข้าพื้นที่อีกครั้งผมมีพวกเขาคอยช่วยเหลือซึ่งในความคิดเห็นส่วน ตัวผมเห็นว่ากองกำลังภาคประชาชน มีความสำคัญกว่ากองกำลังใด ๆ อยู่ที่ว่าทำอย่างไรถึงจะเข้าไปนั่งในใจของเขาให้ได้แค่นั้นเอง " พ.ต.อ.สมเพียร กล่าว....


... อย่างเช่นนายดอเลาะ เซ็งมะสู ในวัยใกล้จะ 60 ซึ่งคนในพื้นที่รู้จักกันในนาม " เลาะ ตะโล๊ะเว" ซึ่งอดีตเคยเป็นแกนนำกลุ่มขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน(พูโล) เมื่อเกือบ 30ปี ที่แล้ว เคยนำกำลังเข้าปะทะ กับ"จ่าเพียรมือปราบ" หรือ ผู้กำกับสมเพียรในปัจจุบัน อยู่เป็นประจำ ปัจจุบันหลังออกจากป่า เขา ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 9 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา เป็นหนึ่งในอดีตแกนนำฯ ที่ประกาศตัวอยู่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐอย่างชัดเจน หลายครั้งเขาถูกลอบยิงถล่มได้รับบาดเจ็บสาหัส จนทำให้เสียดวงตาข้างขวาไปหนึ่งข้าง แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความหวาดกลัว ทำลายความตั้งใจ เดยที่เคยให้ปฏิญานไว้กับตัวเอง ทุกวันนี้เขายังเข้าร่วมภารกิจเสี่ยงตายกับผู้กำกับเพียร อยู่เสมอหากมีโอกาส
" ไม่ชอบโจรยุคปัจจุบัน จะกวาดล้างให้สิ้น " ภาษาไทยกระท่อนกระแท่น ที่พอจับใจความได้ จากปากของล่ามชาวไทยมุสลิม อีกคน แสดงถึงเจตนาและความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวของ ผู้ใหญ่บ้าน เลาะ ตะโล๊ะเว คนนี้ .....
... หรือแม้แต่ นายดอเลาะ กะจะลากิ ที่อายุย่าง 82ปี ชาวบ้านบียอ ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ในชุดโสร่งสวมหมวกกะปิเยาะห์ แบบชาวไทยมุสลิมพื้นบ้านทั่วไป ขณะแววตายังมั่นคงเด็ดเดี่ยวเป็นประกายของชายชราคนนี้ มือกระชับอาวุธปืน M16 อยู่ไม่ห่างกาย ซึ่งผู้เฒ่าดอเลาะคนนี้ เคยทำงานร่วมกับผู้กำกับสมเพียรมานานเกือบ 40 ปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มบรรจุเป็นตำรวจชั้นประทวนที่ สภอ.บันนังสตา เขากล่าวผ่านล่ามว่า หลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปี 2547 ได้เดินทางไปอยู่ที่เมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย พักหนึ่งก่อนกลับมาอยู่บ้านเมื่อสองสามปีที่ผ่านมาและเมื่อ "จ่าเพียร"กลับมาเป็นผู้กำกับที่บันนังสตา ผู้เฒ่าเลยพกความมั่นใจเต็มร้อยสมัครเป็นชุดอาสารักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)ที่อายุมากที่สุด โดยชาวบ้านบียอได้ ยกให้เป็นหัวหน้าชุด ชรบ.ที่นี่ เพราะความเป็นผู้อาวุโสผ่านประสบการณ์มากเป็นที่ นับถือของคนที่นี่ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้จากเดิมที่อำนาจรัฐเข้าไม่ถึง กลายเป็นชุมชนที่น่าอยู่ประชาชนกลับมาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มากขึ้น ...
... ผลจากการทำงานถึงลูกถึงคน อาศัยความจริงใจที่มีให้แก่คนที่นี่ ของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ทำให้นายมะรอนิง โดยมะตู อายุ 26 ปี ชาวต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งเป็นนักรบอาร์เค(RKK)รุ่นใหม่ ที่เคยร่วมก่อเหตุร้ายหลายครั้งในพื้นที่ ยอมกลับใจมาทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยเป็นเจ้าหน้าที่ ชรบ.หมู่บ้านที่มี ผู้เฒ่าดอเลาะเป็นหัวหน้าชุด แม้จะเกิดเรื่องเศร้าสลดหลังจากเขากลับใจมาอยู่ฝ่ายรัฐ พ่อของอนิง ถูกฝ่ายตรงข้ามยิงเสียชีวิต แต่ก็ยังพร้อมที่จะต่อสู้ เพราะที่นี่คือบ้านเกิดของตนเอง ...
... ขณะที่ร้อยตำรวจโทธาม ลอยสะเทื้อน รองสว.สภ.บังนังสตา จ.ยะลา นายตำรวจหนุ่มไฟแรง ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของผู้กำกับสมเพียร บอกว่า ร่วมสู้กับผู้กำกับสมเพียรมาเกือบสี่ปีแล้ว ก่อนหน้านี้เคยได้ยินแต่ชื่อ " จ่าเพียร " ที่ปราบโจรใต้มาก่อน และเมื่อได้ทำงานร่วมกันก็เห็นถึงความทุ่มเท และความรักลูกน้องของผู้กำกับสมเพียร แนวทางการการทำงานของผู้กำกับสมเพียรส่วนใหญ่เป็นลูกบู๊ แต่ก็ไม่ประมาท จะมีการประเมินสถานการณ์ก่อนทุกครั้ง เราทำงานร่วมกันปะทะกับผู้ก่อความไม่สงบหลายครั้งและก็ภูมิใจที่สามารถตอบ โต้แนวร่วมได้บ่อยครั้ง มันเหมือนเราได้ทำหน้าที่ของพวกเราอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าวันนี้จะไม่มีใครมองเห็นก็ตาม ...
... ด้านผู้กำกับสมเพียร ได้กล่าวเสริมว่า การร่วมมือร่วมใจของกำลังภาคประชาชนมีทั้งเด็ก และ คนแก่ ที่ลุกขึ้นมาจับปืนร่วมกันสู้กับกลุ่มก่อความไม่สงบ ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจมาก และ ก็เกินความคาดหมาย ซึ่งตลอดเวลาที่ทำงานในพื้นที่ แม้จะได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐน้อยมาก ทำให้ต้องหางบประมาณเพื่อจัดซื้อปืนเอง โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่รับมาเป็น ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ที่ทำงานด้วยกันก็ต้องเอามาฝึก และซื้อปืนให้ ทุกคนทำงานอย่างเสียสละ แต่ไม่เคยได้รับการดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาให้ดีขึ้น ...



...แม้แต่ตำรวจ บางคนมีอายุมากแล้วก็ยังเป็นแค่นายดาบ ไม่ใช่ต้องรู้จักนาย หรือเป็นลูกหลานแล้วถึงจะได้รับการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง คนบางคนถึงจะไม่มีความรู้แต่มีผลงานก็ต้องบรรจุ อย่างทีมงานของตนหลายคนก็ไม่มีเงินเดือนไม่มีค่าจ้าง ไม่มีค่าตอบแทน ทำงานกันด้วยใจจริง ๆ สู้เพื่อแผ่นดินตรงนี้ ที่เดินทางไปโวยวายกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ไม่ได้ไปโวยวายเพื่อให้ตัวเองได้ดิบได้ดี แต่อยากให้ผู้บังคับบัญชาในระดับสูงรับรู้ ว่าพวกเราทำงานกันยังไง ทำงานท่ามกลางความขาดแคลน แต่ไม่เคยเอาอุปสรรคตรงนี้ไปอ้างเพื่อสร้างปัญหา ส่วนที่ตนเองไปที่ทำเนียบรัฐบาล ไม่ได้ไปเพราะความผิดหวังที่ไม่ได้โยกย้ายไปที่อื่น แต่มันเหลือเวลาแค่หนึ่งปีก็คิดว่าน่าจะทำอะไรเพื่อเป็นแบบอย่างให้น้องๆ บ้าง วันนี้เราต้องมาพูดความจริงว่าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมไม่ตอบแทนคนเหล่านี้ขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่ให้เขาอยู่ใน หลุมฝั่งศพแล้วค่อยบอกว่าเขาเป็นวีระบุรุษ บางคนยังไม่ได้รบเลยแต่ถูกยิงเสียชีวิตขณะลาดตะเวนแล้วได้รับการสดุดีว่า เป็นวีระบุรุษ แล้วคนที่ทำงานอย่างหนักเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ทุกวันทำไมไม่ให้กำลังใจเขา ซึ่งหลังจากตนเองได้ไปยื่นหนังสือตรงนี้ มีกระแสการตอบรับที่ดี แต่สำหรับนายก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดใด ขนาดวันที่ไปหาก็ยังไม่ได้เข้าพบ ก็ไม่หวังอะไร หวังแค่ว่าหลังเกษียณราชการแล้ว ตนเองอยากกินน้ำชา นั่งนินทาเพื่อน แล้วก็กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว เพราะตนเองไม่ได้อยู่กับครอบครัวมานาน 40 ปี เวลาที่อยู่กับครอบครัวมีน้อยมาก โดดเดี่ยวอยู่คนเดียวมาโดยตลอด...

...ผู้ กำกับสมเพียร หรือ "จ่าเพียร"ของคนบันนังสตากล่าวทิ้งท้าย.....

...ส่วน นางพิมพ์ชนา ภรรยาคนข้างกายของผู้กำกับสมเพียร ที่คอยเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่มาโดยตลอด บอกว่า “ภูมิใจในความเสียสละของสามี แม้จะรู้ดีว่า ตลอดการทำงานจะเสี่ยงต่อชีวิต และบางครั้งที่เดินเท้าลาดตะเวนในป่า ก็จะหายหน้าไปหลายวัน และกลับมาด้วยสภาพที่อิดโรย เนื้อตัวเต็มไปด้วยทาก แต่ก็ไม่เคยกดดันให้เขาลาออกเพราะเป็นงานที่เขารัก แต่ก็มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่รู้สึกว่าน้อยใจ เพราะถูกคนถามว่าผู้กำกับสมเพียรเลี้ยงโจรเหรอ เราก็เสียใจเลยมาถามเขาว่าพ่อเลี้ยงโจรเหรอ แต่สามี (ผู้กำกับสมเพียร)กลับตอบว่า " เลี้ยงโจรดี กว่าให้ โจรมันเลี้ยง " เพราะถ้าโจรเลี้ยงเราคงไม่อยู่แบบนี้หรอก คำพูดนี้มันทำให้เราคิดว่า เราควรจะภูมิใจในตัวเขา แม้วันนี้เราไม่ได้อะไร ไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่น แต่พี่ก็ภูมิใจ ....
................................................................

... ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว

ถึงทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทนง ...


บทเพลงพระราชนิพนธ์ที่ดังก้องในใจของผู้กำกับสมเพียร ตลอดเวลาเสมือนหนึ่งปณิธานอันแรงกล้าที่นักรบชายแดนใต้คนนี้ยึดถือเป็นแนว ทางปฏิบัติในชีวิตการทำงาน ความภาคภูมิใจในอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของเขาใช่ดาวที่ประดับบนบ่า หรือความโก้หรูของเครื่องแบบ แต่กลับเป็นความสุขสงบของบ้านเมือง ความปลอดภัยและความผาสุกของประชาชน ทุกคนในบันนังสตาต่างทราบดีว่า ที่ใดลุกเป็นไฟ จ่าเพียรของเขาจะไปดับให้ทันที แม้ที่นั่นจะต้องฟันฝ่าด้วยอุปสรรคนานัปการ หรือความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสก็ตาม คำพูดที่ "ว่าผมไม่ อยากเป็นวีรบุรุษและจะไม่ขอตายในชุดนักรบ "
....ประโยคสุด ท้ายก่อนอำลาจากกันเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2553..ยังคงดังก้องในโสตประสาท อนิจจา..จ่าเพียรไม่ได้ดั่งหวัง เพราะ ณ วันนี้.....เลือดของชายชาตินักรบไหลนองปฐพี ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจขณะที่ร่างยังสวม "ชุดนักรบ" และทุกคนที่อยู่ข้างหลังต่างสดุดีให้เขาเป็น "วีรบุรุษของแผ่นดิน" แม้นว่าดวงวิญญาณของเขาจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม ...

บ่ายวันที่ 12 มีนาคม ฝนตกลงมาปรอยๆ เหนือฟ้ายะลา....ดั่งสวรรค์เบื้องบนรับรู้การจากไปของนักรบผู้กล้าแห่งชาย แดนใต้
ดั่งน้ำตาที่ไหลท่วมใจชาวยะลา
หลับให้สบายเถิดวีรบุรุษในดวงใจ......
ขอดวงวิญญาณ ท่านผู้กำกับสมเพียร จงสุขสงบ อยู่สรวงสวรรค์
และปิดตำนาน" จ่าเพียรกระดูกเหล็ก " ...ไปชั่วนิจนิรันดร์


.... ขอสดุดี และ แสดงความไว้อาลัยอย่างสุดซึ้ง ต่อการจากไปของ " พี่เนี๊ยบ หรือพี่เพียร " .....
พี่คนที่มี แต่ให้ " แม้แต่วินาทีสุดท้ายของชีวิต " ...

.... ยอมรับว่า ช็อค !! มาก เขียนอะไรไม่ออก.....

..สม เป็นยอดนักรบผู้ทรนง
...เพียร บุกป่าฝ่าดงดับไฟใต้
....เอก อุโฆษณ์นามระบือเลื่องลือไกล
.....สม ญาให้ " วีรบุรุษของแผ่นดิน " ............







วันพุธ ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553

.อีกครั้งกับ กับ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา "จ่าเพียรกระดูกเหล็ก" แห่งบันนังสตา......


...ผู้สร้างความเป็นธรรมให้สังคม ที่ต้องมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง ...

...วันนี้ !!! มีข่าวหนึ่งที่น่าสนใจแทรกเข้ามาเป็นยาดำ นอกเหนือจากข่าวศาลฏีกา จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกทักษิณ ในวันที่ 26กพ.คือข่าวโผการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจที่กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในวงการสี กากี ทำให้ตำรวจน้ำดีหลายนายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง หลายคนต้องทนน้ำตาตกในเก็บความขมขื่นอัดอั้นตันใจ ปิดปากเงียบ !! เพราะกลัวจะไปกระทบกับชีวิตราชการที่อาจจะเลวร้ายมากไปกว่านี้ แต่หลายคนกลับออกมาสู้ ดับเครื่องชนเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บังคับบัญชา ...

... โดยเฉพาะกรณี พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ลงทุนหอบเอกสารผลงาน โล่รางวัล พร้อมหนังสือร้องเรียน เดินทางเข้ากรุงเทพ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อนายกฯ(อภิสิทธิ์)และรักษาการ ผบตร.(ปทีป)ถึงทำเนียบรัฐบาล ...

...ชื่อของ " ผู้กำกับเพียร " หรือ " จ่าเพียรมือปราบ" อาจไม่เป็นที่รู้จักมากนักในแวดวงไฮซง ไฮซ้อ หรือ บุคคลมีระดับชั้นนำของประเทศ แต่ในวงการตำรวจแล้ว โดยเฉพาะชายแดนใต้ น้อยคนนัก ที่ไม่รู้จักนายตำรวจผู้นี้ โดยเฉพาะ พวกมิจฉาชีพ โจรก่อการร้าย ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ แค่ได้ยินชื่อ ก็อกสั่นขวัญแขวน..

...จากเกียรติประวัติทำงานคลุกคลี อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มานานเกือบ40 ปี ในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ คอยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน ตั้งแต่ยศชั้นประทวน จนถึง พันตำรวจเอกในปัจจุบัน ผ่านการปะทะกับผู้ก่อการร้ายมานับครังไม่ถ้วน และ หลายครั้งแทบเอาชีวิตไม่รอด...
...แทบไม่น่าเชื่อว่า!!!วันนี้เขาต้องมา เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง...


...น้ำตาของนายตำรวจเหล็ก ผู้ไม่เคยยอมสยบต่อสิ่งชั่วร้าย ต้องมาร่วงด้วยความคับแค้นใจต่อการกระทำของผู้บังคับบัญชา นี่หรือคือผลตอบแทนคุณงามความดี ที่มีต่อนายตำรวจน้ำดีคนนี้ ที่ ตั้งปณิธานให้แก่ตนเองในการปกป้องผืนแผ่นดินแม่ มาตลอดชีวิตราชการ...

...จากเดิมที่มีชื่อแปะไว้ในโผแล้ว ว่าจะได้ย้ายไปดำรงตำแหน่ง ผกก.กันตัง จ.ตรัง แต่กลับโผหลุด ชื่อหายไปเสียเฉยๆ ทั้งที่นายก็รับปาก เป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าในวัยใกล้เกษียณอีกแค่ปีเศษ จะพิจารณาปูนบำเหน็จ ความดีความชอบให้ได้เลื่อนชั้นในตำแหน่งที่สูงขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและ ที่สำคัญจะได้พักผ่อนได้ตั้งสติวางแผนการดำเนินชีวิตให้กับตนเอง หลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดชีวิตหลัง แม้ใจยังสู้อยู่เกินร้อย แต่อายุราชการเขามีให้เพียงแค่นั้น กลับถูกแป๊กให้ย่ำอยู่กับที่ เพราะโดนนักวิ่งแรงแซงทางโค้งเสียบเข้าเป้่าแทนไปเสียฉิบ ...

...เป็นใครก็ต้องน้อยใจเป็นธรรมดา ไม่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่รู้หรอก ...
...และไม่ ว่าผลจะออกมาเช่นไร หลังปฏิบัติการกามิกาเช่ ของผู้กำกับเพียรในครั้งนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าประชาชนได้รับ คือการได้รับรู้ ปฏิกิริยา ความรู้สึกของนายตำรวจชั้นผู้น้อย ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้ผู้กำกับเพียรจะเป็นนายตำรวจมือปราบ แต่เขาก็ยังคงเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังคงมีความรัก โลภ โกรธ หลง เช่นเดียวกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

ให้คะแนนข้อเขียนนี้...คุณจะให้กี่ดาวดีจ๊ะ